เมื่อเวลา 9.50 น. วันที่ 17 ก.พ.63 ที่ห้องพิจารณา 915 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาคดีทำร้ายร่างกาย นายเอกชัย หงส์กังวาน นักเคลื่อนไหวทางการเมือง หมายเลขดำ อ.530/2562 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 9 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายกำธร หรือเกมส์ ธรรมขันธ์ เป็นจำเลย ในความผิดฐานร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่น จนเป็นเหตุให้ผู้ถูกทำร้ายรับอันตรายสาหัส ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 83, 297 คำฟ้องระบุพฤติการณ์สรุปได้ว่า วันที่ 22 ส.ค. 2561 จำเลยกับพวกซึ่งยังไม่ได้ตัวมาฟ้อง ร่วมกันทำร้ายนายเอกชัย ผู้เสียหาย ด้วยการขับขี่รถจักรยานยนต์พุ่งชนผู้เสียหาย ใช้หมวกกันน็อคและไม้หน้าสามฟาดที่บริเวณศีรษะของผู้เสียหายหลายครั้ง แต่ผู้เสียหายหลบและยกแขนป้องกันไว้ จึงถูกตีที่แขน มีบาดแผลฉีกขาด ถลอก และกระดูกหักที่โคนนิ้วนางมือซ้าย เหตุเกิดที่แขวงคลองจั่น เขตบางกะปิ โดยจำเลยให้การปฏิเสธ วันนี้นายเอกชัย ผู้เสียหายเดินทางมาศาลร่วมฟังคำพิพากษา ขณะที่นายกำธร จำเลยซึ่งได้รับการประกันตัวในคดีนี้ แต่ถูกจำคุกในคดีอื่น เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์เบิกตัวจากเรือนจำมาฟังคำพิพากษา ศาลพิจารณาพยานหลักฐานโจทก์และจำเลยแล้ว ที่ผู้เสียหายเบิกความเห็นจำเลยนั่งอยู่บนมอเตอร์ไซค์ แล้วมองยิ้มอย่างมีเลศนัยก่อนเกิดเหตุ ขณะที่พิจารณาภาพจากกล้องวงจรปิด เห็นผู้เสียหายเดินไปตามปกติ ผู้ชายที่นั่งอยู่บนมอเตอร์ไซค์ไม่ได้มองผู้เสียหายแต่หันหลัง ส่วนที่ผู้เสียหายเห็นจำเลยในที่เกิดเหตุ โดยจำเลยปิดบังใบหน้าใส่หมวกกันน็อค แต่ต่อมาเห็นจำเลยถอดหมวกกันน็อคมาตีผู้เสียหาย จึงไม่เชื่อว่าจำเลยถอดหมวกกันน็อคจริง ซึ่งขัดกับการกระทำของจำเลยแต่แรกที่ปกปิดหน้าตา คำเบิกความของผู้เสียหายไม่น่าเชื่อถือ มีพิรุธ รวมถึงภาพสเก็ตซ์คนร้ายไม่คล้ายจำเลย และไม่มีประจักษ์พยานอื่น พยานหลักฐานโจทก์ยังมีข้อสงสัยตามสมควร ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย พิพากษายกฟ้อง ภายหลังเสร็จสิ้นการฟังคำพิพากษา นายเอกชัย ให้สัมภาษณ์ว่า คดีนี้สืบเนื่องจากเดือน ส.ค. 2561 ตนถูกคนร้าย 3 คน รุมทำร้ายร่างกายที่หน้าบ้าน ตนเห็นภาพ 1 ใน 3 คนร้าย ถูกจับในคดีชิงทรัพย์ จำหน้าได้จึงแจ้งความให้ตำรวจไปจับกุม อัยการส่งฟ้องและมีคำพิพากษาในวันนี้ ซึ่งมีภาพวงจรปิดที่หน้าอู่ซ่อมรถ แต่เห็นแค่ด้านหลัง ไม่เห็นด้านหน้าของเขา ตนไม่มีภาพวงจรปิดใดๆ ที่เห็นหน้าเขาชัดเจน แต่ตนจำหน้าเขาได้ ศาลยังไม่เชื่อว่าเป็นคนร้ายจึงยกฟ้อง ซึ่งตนจะอุทธรณ์ต่อไป นายเอกชัย กล่าวยืนยันว่าตนจำหน้าได้และภาพสเก็ตซ์คล้ายกับคนร้าย ตอนที่ตนเห็นเห็นด้านข้าง ภาพสเก็ตซ์จึงออกมาในลักษณะด้านข้าง ตนมั่นใจว่าใช่แน่นอน พอตำรวจจับกุมแล้วส่งรูปถ่ายให้อัยการเป็นภาพหน้าตรง ก็อาจจะดูไม่เหมือนสักเท่าไหร่ แต่ดูด้านข้างเหมือนแน่นอน รู้สึกผิดหวัง เพราะอัยการก็สู้ถึงที่สุด ตอนแรกก็มั่นใจ ฝ่ายจำเลยไม่มีหลักฐานพิสูจน์ได้ว่าขณะเกิดเหตุเขาอยู่ที่ไหน และติดใจคำพิพากษาที่เราจำได้ว่าตอนเขาตีที่หน้าบ้านเรา เขาถอดหมวกกันน็อค เราเลยจำเขาได้ แต่ไม่มีภาพกล้องวงจรปิดที่หน้าบ้านตนขณะนั้น ศาลก็ไม่เชื่อว่าคนร้ายถอดหมวกกันน็อค ผู้สื่อข่าวถามถึงความคืบหน้าคดีอื่นที่ถูกทำร้าย นายเอกชัย เผยว่าตนถูกทำร้ายร่างกาย 7 ครั้ง เผารถ 2 ครั้ง โดยมี 2 คดีที่จับคนร้ายในที่เกิดเหตุได้ เพราะตำรวจอยู่ ส่วนคดีนี้จับ 1 ใน 3 คนร้ายได้ คดีอื่นยังไม่คืบหน้า แม้จะมีภาพวงจรปิดและออกหมายจับ แต่ยังไม่สามารถจับคนร้ายได้ สำหรับคดีที่จับคนร้ายได้นั้น คือเดือน ม.ค. 2561 ตอนที่ตนไปทำเนียบและถูกทำร้ายที่ป้ายรถเมล์ ต่อมาก็เป็นคนเดียวกันที่เราจำหน้าได้มาทำร้ายอีกสัปดาห์ คดีครั้งแรกตัดสินปรับคนร้าย 1,000 บาท ครั้งที่ 2 ตัดสินจำคุก 6 เดือน ปรับ 10,000 บาท แต่รอลงอาญา