บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) (บีทีเอส กรุ๊ป) แถลงผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2562/63 เป็นที่น่าประทับใจ โดยกำไรสุทธิในไตรมาสนี้เติบโตอย่างโดดเด่น 107% เป็น 2,460 ล้านบาท ปัจจัยหลักมาจากผลการดำเนินงานที่ปรับตัวดีขึ้นในธุรกิจระบบขนส่งมวลชนและธุรกิจสื่อโฆษณา รวมถึงการเพิ่มขึ้นของส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัท ยู ซิตี้ จำกัด (มหาชน) (หรือ ยู ซิตี้ ซึ่งเป็นบริษัทร่วมของเรา) จากการบันทึกกำไรจากการขายบริษัท หมอชิตแลนด์ จำกัด จำนวน 1,118 ล้านบาท ในขณะที่กำไรสุทธิหลังหักภาษีจากรายการที่เกิดขึ้นเป็นประจำในไตรมาสนี้ เพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยปรับตัวเพิ่มขึ้น 143% YoY อยู่ที่ 2,378 ล้านบาท โดยในไตรมาส 3 ปี 2562/63 บริษัทมีรายได้รวมจากการดำเนินงาน จำนวน 11,069 ล้านบาท โดยมีรายได้จากธุรกิจระบบขนส่งมวลชน จำนวน8,659 ล้านบาท คิดเป็น 78% ของรายได้รวม ด้านรายได้จากการให้บริการเดินรถและซ่อมบำรุง (O&M) ประจำไตรมาส 3 ปี 2562/63 เพิ่มขึ้น 67% เป็น 942 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการเปิดให้บริการโครงการส่วนต่อขยายสายสีเขียวใต้(แบริ่ง-เคหะฯ) ทั้งสายตั้งแต่เดือนธันวาคม 2561 สำหรับผลการดำเนินงานจากธุรกิจสื่อโฆษณาในไตรมาส 3 ปี 2562/63 นับเป็นอีกครั้งที่กลุ่มบริษัท VGI Group สามารถสร้างรายได้และกำไรสุทธิสูงสุดใหม่ โดยรายได้เติบโต 25% YoY เป็น 1,867 ล้านบาท สูงที่สุดนับตั้งแต่เปิดดำเนินการ ปัจจัยหลักมาจากการเติบโตในทุกหน่วยธุรกิจสื่อโฆษณา รวมถึงการรับรู้รายได้เพิ่มเติมจากการให้บริการสื่อโฆษณาออนไลน์ภายใต้ VGI Digital Lab ส่งผลให้กำไรของ VGI เพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่น 30% เป็น 401 ล้านบาท ทั้งนี้ในไตรมาสนี้ บีทีเอส กรุ๊ป ยังคงเดินหน้าขยายเครือข่ายการให้บริการระบบขนส่งมวลชนอย่างต่อเนื่อง ภายหลังจากการเปิดให้บริการสถานีห้าแยกลาดพร้าวในเดือนสิงหาคม 2562 บริษัทได้เปิดให้บริการเพิ่มอีก 4 สถานีของโครงการส่วนต่อขยายสายสีเขียวเหนือไปเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2562 นอกจากนี้บริษัทยังตั้งเป้าที่จะเปิดให้บริการเพิ่มอีก 4 สถานีในเดือนมิถุนายน 2563 และคาดว่าจะเปิดให้บริการแบบเต็มสายทั้งหมด 16 สถานีภายในปีนี้ ทั้งนี้เราคาดว่าการเปิดให้บริการสถานีใหม่เพิ่มเติมดังกล่าวจะช่วยดันรายได้การให้บริการเดินรถและซ่อมบำรุง (O&M) ให้เพิ่มขึ้นอีกในอนาคต ขณะที่ในส่วนของธุรกิจสื่อโฆษณานั้น เราเห็นบทบาทที่ชัดเจนขึ้นสำหรับการบริหารจัดการสื่อโฆษณาภายในประเทศ ภายหลังจากที่บริษัท มาสเตอร์ แอด จำกัด (มหาชน)หรือ MACO ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัทได้เข้าซื้อกิจการบริษัท ฮัลโหล บางกอก แอล อี ดี จำกัด(Hello LED) เสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้ VGI จะยังคงมุ่งมั่นในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งในการให้บริการ Offline-to-Online (O2O)โซลูชั่นส์ และร่วมสรรค์สร้าง Synergy ระหว่างกลุ่มบริษัทต่อไป ส่วน MACO นั้นจะมุ่งเน้นในการขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศอย่างเต็มตัว และมีฐานะเป็นเจ้าของสื่อโฆษณาภายในประเทศ ในขณะที่บริษัทแพลน บี มีเดีย จำกัด (มหาชน)หรือ PlanB จะเป็นผู้บริหารจัดการขายและทำการตลาดสื่อโฆษณาในประเทศทั้งหมด ทั้งนี้เราคาดว่าการปรับโครงสร้างในครั้งนี้จะช่วยเสริมความร่วมมือระหว่างกลุ่มบริษัทจากการผสานทีมงานซึ่งเปี่ยมไปด้วยศักยภาพ และอาจนำไปสู่การลดต้นทุน รวมไปถึงโอกาสในการพัฒนาธุรกิจใหม่ๆอีกด้วย นายกวิน กาญจนพาสน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บีทีเอส กรุ๊ปฯกล่าวว่า นอกเหนือจากผลประกอบการที่โดดเด่นในไตรมาสนี้แล้ว เรายังลงทุนในธุรกิจต่างๆ ที่เกื้อหนุนประโยชน์ต่อกันเพื่อสร้างผลตอบแทนระยะยาวในอนาคต พร้อมทั้งเปิดกว้างในการลงทุนในโอกาสทางธุรกิจที่จะต่อยอดและสร้าง Synergy ให้เกิดขึ้นในแพลตฟอร์มธุรกิจในปัจจุบันของเรา ควบคู่ไปกับการทำงานร่วมกับพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญในการดำเนินงาน ทั้งนี้จะเห็นได้ว่าในช่วงที่ผ่านมา บีทีเอส กรุ๊ปได้จับมือกับพันธมิตรทางธุรกิจและขยายขอบเขตความสนใจไปยังโครงการด้านขนส่ง โครงการโครงสร้างพื้นฐาน ธุรกิจโฆษณา ธุรกิจการชำระเงิน ธุรกิจค้าปลีก และธุรกิจโลจิสติกส์ และล่าสุดบริษัท(ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกิจการร่วมค้า)เป็นผู้ชนะประมูลโครงการใหม่ถึง 2 โครงการได้แก่ โครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง และโครงการพัฒนาสนามบินนานาชาติอู่ตะเภา