“บีจีเอฟ”เผยผลประกอบการธุรกิจปี 62 โตรวมกว่า 75% วางกลยุทธ์ปี 2563 เน้นนำเสนอผลิตภัณฑ์กระจกและอะลูมิเนียมครบวงจรรายแรก พร้อมพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์ จ่อประมูลงานอสังหาริมทรัพย์-โครงการใหญ่ เตรียมขยายตลาดส่งออกในเอเชีย-ยุโรป รับมือแข่งขันเดือด-เศรษฐกิจโลกชะลอตัวแต่มีแรงหนุนจากโครงการภาครัฐแรงขับเคลื่อน นายศุภสิน ลีลาฤทธิ์ กรรมการผู้จัดการ เปิดเผยว่า ธุรกิจบีจีเอฟปัจจุบันมี กระจก ฟิตติ้ง (Fitting) และเมื่อต้นปี 62 ได้เพิ่มตัวอะลูมิเนียมเข้ามาจากการซื้อทรัพย์สินของ USAM ซึ่งเป้าหมายของเราอยากจะเป็นผู้ที่สามารถตอบสนองผลิตภัณฑ์ให้กับคู่ค้าของเราได้อย่างครบวงจร โดยเราเป็นแรกรายที่ผลิตและจัดจำหน่ายทั้งกระจกและอะลูมิเนียม ส่งผลให้ปีที่ผ่านมาธุรกิจในประเทศเติบโต 28% และส่งออกเติบโต 16% ทั้งนี้ปัจจัยหลักมาจากการขยายฐานลูกค้าครอบคลุมทั่วประเทศ ประกอบกับขยายการส่งออกไปยังอินเดีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์และไต้หวัน ทำให้รายได้รวมของบริษัทปี 62 อยู่ที่ 2,422 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 61 ประมาณ 75% หรือ 1,035 ล้านบาท สำหรับปีนี้ตั้งเป้ารายได้ธุรกิจกระจกและอะลูมิเนียมไว้ที่ประมาณ 3,000 ล้านบาท แบ่งเป็นในประเทศประมาณ 2,300 ล้านบาท ต่างประเทศประมาณ 700 ล้านบาท วางกลยุทธ์การเติบโตโดยเน้นการขยายผลิตภัณฑ์ไปยังกลุ่มอุตสาหกรรมใหม่ๆหลากหลายมากขึ้น รวมถึงเข้าไปเจาะตลาดใหม่ๆสำหรับผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเช่น กระจกเทมเปอร์สำหรับห้องน้ำ กระจกพิมพ์ลายสำหรับตลาดเวดดิ้ ส่วนธุรกิจอะลูมิเนียม เรามุ่งพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์ให้เป็นอะลูมิเนียมยูโรโปรไฟล์ (euro profile aluminum) ซึ่งมีความหนา แข็งแรง และทนทานมากขึ้น อีกทั้งยังมีแผนขยายการส่งออกทั้งในกลุ่มประเทศเอเชียและยุโรป “การแข่งขันในธุรกิจกระจกค่อนข้างรุนแรง ในประเทศมีผู้ผลิตเดิมอยู่ 2 ราย เราเข้ามาเป็นรายใหม่รายที่ 3 ประกอบกับในธุรกิจนี้มีซัพพลายสูง แต่ดีมานด์ชะลอตัวลดลง ขณะที่ตลาดการส่งออกมีผู้ผลิตรายใหม่เกิดขึ้นในกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านมีกำลังการผลิตสูงและยังได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลในประเทศของเขาด้วย ทำให้การแข่งขันทั้งในและนอกประเทศรุนแรงขึ้น” โดยการที่บีจีเอฟมีทั้งกระจกและอะลูมิเนียมถือเป็นจุดแข็ง เพราะลูกค้าส่วนใหญ่ต้องการกระจก อะลูมิเนียม และฟิตติ้งควบคู่กัน เมื่อเราสามารถตอบสนองความต้องการตรงนี้ได้อย่างครบวงจรจะช่วยเพิ่มความสะดวกสบายให้ลูกค้า ซึ่งถือเป็นข้อได้เปรียบ รวมถึงการทำการตลาดกับลูกค้าของเราทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นคู่ค้า ร้านค้า สถาปนิก ช่าง หรือผู้ใช้งานอย่างต่อเนื่อง ช่วยให้การรับรู้แบรนด์บีจีเอฟในวงการกระจกที่ผ่านมาค่อนข้างดี ทั้งนี้แม้สภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกชะลอตัว แต่แนวโน้มโดยรวมของธุรกิจวัสดุก่อสร้างยังคงเติบโต โดยคาดว่าในปีนี้จะขยายตัวประมาณ 6-8% ซึ่งปัจจัยมาจากการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐหลายโครงการจะเป็นแรงขับเคลื่อนการลงทุนของภาคเอกชนให้ขยายตัวตามมา ถือเป็นการเพิ่มโอกาสการเติบโตของบีจีเอฟในปีนี้ มองโอกาสที่จะเข้าไปประมูลในโครงการอสังหาริมทรัพย์ หรือโครงการใหญ่ๆ เนื่องจากมีการใช้ผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย นอกจากนี้ยังอยากจะนำผลิตภัณฑ์เข้าไปอยู่ในสเปคมาตรฐานของโครงการต่างๆ แต่ตรงนี้ต้องใช้ระยะเวลาพอสมควรกว่าจะเข้าไปเจาะตลาดนี้ได้ เพราะต้องเข้าไปทีละสเต็ป ตั้งแต่เจ้าของโครงการ สถาปนิก ผู้รับเหมา จึงต้องศึกษาความต้องการในแต่ละกลุ่ม มั่นใจว่าการพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์ และการเพิ่มแนวคิดทางการตลาดใหม่ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าในทุกกลุ่มจะเป็นส่วนช่วยสนับสนุนให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างเป็นอย่างดี