ผ่านพ้นไปเป็นรัฐที่ 2 ของ “ศึกเลือกตั้งขั้นต้นของพรรคเดโมแครต” เพื่อเฟ้นหาผู้สมัครฯ ไปชิงชัยยังสนามใหญ่ ในศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ปลายปีนี้กับเจ้าของตำแหน่งเดิม คือ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จากพรรครีพับลิกัน สำหรับ “การเลือกตั้งขั้นต้นที่รัฐนิวแฮมป์เชียร์” ในสนามล่าสุดรัฐที่ 2 นั้น ซึ่งใช้วิธีแบบ “ไพรมารี (Primary Vote)” และเป็นไพรมารีแบบ “ระบบผสม (Hybrid Primary System)” หรือ “ระบบกึ่งปิด (Semi – Closed Primary System)” เพื่อให้การเฟ้นหาผู้สมัครฯ ดำเนินไปด้วยดีไม่มีสับสวนปั่นป่วนเหมือน “ระบบเปิด (Open Primary System)” เฉกเช่นเมื่อครั้งอดีตเก่าก่อน ซึ่งการโหวตในศึกไพรมารีข้างต้น ก็มีขึ้นเมื่อช่วงกลางสัปดาห์นี้ โดยมี “คณะตัวแทน” หรือ “ดิลิเกต (Delegate)” ของรัฐแห่งนี้จำนวน “24 เสียง” เป็นบำเน็จรางวัลให้สะสม ผลปรากฏว่า “นายเบอร์นี แซนเดอร์ส” วุฒิสมาชิก หรือสมาชิกสภาซีเนต แห่งรัฐเวอร์มอนต์ ได้รับการคาดการณ์ว่า จะคว้าชัยในศึกไพรมารีที่รัฐนิวแฮมป์เชียร์ครั้งนี้ค่อนข้างจะแน่ เพราะการนับคะแนนผ่านพ้นไปแล้วร้อยละ 97 ทางนายแซนเดอร์ส ก็มีคะแนนที่ได้รับการโหวตไปแล้วถึง 70,361 คะแนนเสียง หรือคิดเป็นร้อยละ 25.7 พร้อมๆ กับคว้า “ดิลิเกต” มาสะสมไว้ได้จำนวน 9 เสียง ตามมาด้วย “นายพีท บูติเจิจ” อดีตนายกเทศมนตรีเมืองเซาท์เบนด์ รัฐอินดีแอนา ได้รับการโหวตไปด้วยจำนวน 66,760 คะแนนเสียง หรือคิดเป็นร้อยละ 24.4 ส่งผลให้เขาสามารถคว้าดิลิเกตไปได้ถึง 9 เสียงด้วยกัน ซึ่งเท่ากับนายแซนเดอร์ส แต่คะแนนดิบจากเสียงโหวตน้อยกว่าเท่านั้น อันดับ 3 ตกเป็นของ “นางเอมี จีน คโลบูชาร์” วุฒิสมาชิก หรือสมาชิกสภาซีเนต แห่งรัฐมินนิโซตา ได้รับการโหวตด้วยจำนวน 53,952 คะแนนเสียง หรือคิดเป็นร้อยละ 19.7 ทำให้เธอได้ดิลิเกไปครองสะสม 6 เสียง โดยมีรายงานด้วยว่า ทั้งนายพีท บูติเจิจ และนางเอมี จีน คโลบูชาร์ ถือเป็นผู้สมัครในฐานะ ไม้ประดับ หรือม้านอกสายตา แต่ปรากฏว่า ม้านอกสายตา กลายเป็น “ม้ามืด” ในสมรภูมิชิงชัยที่รัฐนิวแฮมป์เชียร์ ขณะที่ ผู้สมัครฯ ระดับตัวเก็ง อย่าง “นายโจ ไบเดน” อดีตรองประธานาธิบดีคนดังสมัยบารัก โอบามา และ “นางเอลิซาเบธ วอร์เรน” วุฒิสมาชิกหญิงแกร่งแห่งรัฐแมสซาชูเซตส์ กลับประสบความล้มเหลวในศึกไพรมารีที่รัฐนิวแฮมป์เชียร์ข้างต้น ตามรายงานก็ระบุว่า ผู้สมัครฯ ทั้งสอง คือ นายไบเดน และนางวอร์เรน ไม่ได้รับดิลิเกตเลยแม้แต่เสียงเดียว เพราะได้คะแนนเสียงโหวตจำนวนไม่ถึงกำหนด คือ ส.ว.หญิงวอร์เรน ได้การโหวตเพียง 25,,511 คะแนนเสียง หรือคิดเป็นร้อยละ 9.3 ไม่เพียงพอต่อการได้ดิลิเกต มาเป็นอันดับ 4 ส่วนอดีตรองประธานาธิบดีไบเดน ได้รับการโหวตเพียง 22,952 คะแนนเสียงเท่านั้น หรือคิดเป็นร้อยละ 8.4 ไม่ได้ดิลิเกตแม้แต่เสียงเดียวเช่นกัน ทั้งนี้ ผลศึกไพรมารีที่ออกมา ก็ต้องบอกว่า หักปากกาเซียน และหักผลโพลล์ ที่มีการคาดการณ์กันก่อนหน้าแบบทุกสำนัก ซึ่งต่างระบุว่า อดีตรองประธานาธิบดีไบเดน จะตามมาเป็นที่สองรองจาก ส.ว.แซนเดอร์ส คือ ที่ร้อยละ 25.3 กับร้อยละ 17.0 ส่วนนายบูติเจิจ มาเป็นลำดับ3 ที่ร้อยละ 14.0 ทว่า ปรากฏว่า นายบูติเจิจ พลิกล็อกขึ้นมาเป็นที่ 2 ในการลงคะแนนเสียง แถมเกือบคว้าที่ 1 อีกต่างหาก โดยสามารถเก็บดิลิเกตมาครองได้ถึง 9 เสียงเท่ากับนายแซนเดอร์ส ที่ได้รับการคาดการณ์ทุกสำนักโพลล์ว่า จะได้รับชัยชนะแบบนอนมาที่รัฐแห่งนี้ โดยเมื่อกล่าวถึงนายบูติเจิจ อดีตนายกเทศมนตรีเมืองเซาท์เบนด์ อดีตทหารผ่านศึก และเคยออกมายอมรับว่า เป็นพวกรักร่วมเพศผู้นี้นั้น ได้สร้างประวัติศาสตร์ในฐานะม้ามืดในศึกคอคัสที่รัฐไอโอวา อันเป็นการเลือกตั้งขั้นต้นรัฐแรกเมื่อต้นเดือน ก.พ.นี้ มาครั้งหนึ่งแล้ว ด้วยการเอาชนะในศึกเลือกตั้งกล่าว พร้อมกับคว้าดิลิเกตมาได้ถึง 13 เสียง เบียดแซงนายแซนเดอร์ส ที่หล่นไปอยู่อันดับที่ 2 ได้ดิลิเกตไปด้วย 12 เสียง ภายหลังจากเสร็จสิ้นศึกเลือกตั้งขั้นต้นมา 2 รัฐ ก็ได้รับการจับตาจากบรรดาคอการเมืองสหรัฐฯ ในทันที สำหรับการศึกชิงตันแทนพรรคเดโมแครต ว่าจะเพิ่มความข้มข้น เติมดีกรีดุเดือด ซึ่งการชิงชัยอาจมิใช่เพียงแค่การต่อกรระหว่างนายแซนเดอร์ส และนายไบเดน เท่านั้น แต่ยังมีตัวแปรอื่นๆ มาตัดคะแนนแบ่งแต้มของสองฟากฝ่ายอีกต่างหากด้วย และมิใช่มีเพียงแต่นายบูติเจิจเท่านั้น แต่ทว่า ยังมีผู้สมัครฯ คนอื่น ที่พร้อมเปลี่ยนยุทธศาสตร์การรณรงค์หาเสียงให้เข้มข้นดุเดือด จนสามารถแบ่งคะแนนชิงแต้มมาเป็นของตนได้ด้วยเช่นกัน พร้อมยกกรณีของ “นางเอมี จีน คโลบูชาร์” ที่พลิกกลยุทธ์หาเสียงครั้งล่า เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ด้วยการปราศรัยหาเสียงกลางหิมะที่กำลังโปรยปรายลงมาในเมืองมินนีแอโอลิส นครหลวงของรัฐมินนิโซตา ที่เธอเป็น ส.ว.อยู่ พร้อมชูประเด็นเรื่องวิกฤติการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ หรือภาวะโลกร้อน ขึ้นมาหาเสียง ก็ส่งผลให้นางคโลบูชาร์ มีคะแนนนิยมตีตื้นขึ้นมาจากม้านอกสายตา กลายเป็นม้ามืด คว้าอันดับ 3 มาครองในศึกไพรมารีที่รัฐนิวแฮมป์เชียร์ กล่าวถึงสมรภูมิเลือกตั้งขั้นต้นต่อไป ก็จะเป็นที่รัฐเนวาดา ในวันที่ 22 ก.พ. หรือสุดสัปดาห์หน้า ซึ่งยังพอมีเวลาสำหรับการปรับกลยุทธ์หาเสียงของบรรดาผู้สมัครฯ ทั้งหลายที่จะพลิกสถานการณ์ โดยจะมีดิลิเกตจำนวนถึง 48 เสียง เป็นรางวัลแก่ผู้คว้าชัยชนะ