GPSC เผยผลประกอบการปี 62 กวาดรายได้ 66,562 ล้านบาท เติบโตก้าวกระโดด สร้างผลกำไร 4,061 ล้านบาท โต 21% เมื่อเทียบกับปี 61 หลังรับรู้รายได้ในการเดินเครื่องผลิตไฟฟ้าเพิ่มหลังรวม GLOW ได้ตามแผน-ประสบความสำเร็จในการปรับโครงสร้างทางการเงิน สามารถชำระคืนเงินกู้ระยะสั้น หั่นต้นทุนการเงินลดลง พร้อมประกาศจ่ายเงินปันผล ในอัตราหุ้นละ 1.30 บาท XD วันที่ 26 ก.พ.นี้ มั่นใจปี 63 รับรู้รายได้เติบโตต่อเนื่อง นายชวลิต ทิพพาวนิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC แกนนำนวัตกรรมธุรกิจไฟฟ้ากลุ่ม ปตท.เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานบริษัทปี 2562 มีรายได้รวมทั้งสิ้น 66,562 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 41,682 ล้านบาท หรือคิดเป็น 168% มีกำไรสุทธิ จำนวน 4,061 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปี 2561 จำนวน 702 ล้านบาท หรือคิดเป็น 21% ซึ่งเป็นผลจากการรับรู้รายได้จากการควบรวมบริษัทโกลว์ พลังงาน จำกัด (มหาชน) หรือ GLOW และมีโรงไฟฟ้าที่จ่ายไฟเข้าระบบเพิ่มขึ้น และการปรับปรุงโครงสร้างทางการเงินตามแผนการชำระคืนเงินกู้ยืมระยะสั้น ซึ่งส่งผลให้ต้นทุนทางการเงินต่ำลง ขณะเดียวกันที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทมีมติอนุมัติให้เสนอจ่ายเงินปันผลประจำปี 2562 ในอัตราหุ้นละ 1.30 บาท หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละประมาณ 74 ของกำไรสุทธิของงบการเงินรวม แบ่งเป็นการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลสำหรับผลการดำเนินงานครึ่งแรกของปี 2562 ในอัตราหุ้นละ 0.50 บาท ซึ่งบริษัทได้จ่ายไปแล้วเมื่อวันที่ 12 ก.ย.62 จึงยังคงเหลือส่วนเงินปันผลสำหรับผลการดำเนินงานสำหรับผลการดำเนินงานครึ่งหลังของปี 2562 ที่จะต้องจ่ายในอัตราหุ้นละ 0.80 บาท โดยบริษัทฯ กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผล(Record Date) ในวันที่ 27 ก.พ.63 (หรือ XD วันที่ 26 ก.พ.) และกำหนดจ่ายเงินปันผลประจำปีที่อัตราหุ้นละ 0.80 บาทต่อหุ้นในวันที่ 17 เมษายน 2563 โดยจะจ่ายเมื่อได้รับการอนุมัติจากที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2563 แล้ว โดยบริษัทเริ่มรับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้าที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในปี 2562 จำนวน 4 แห่งได้แก่ ศูนย์ผลิตสาธารณูปการแห่งที่ 4 จังหวัดระยอง (CUP-4) โรงไฟฟ้าพลังน้ำ น้ำลิก 1 (NL1PC) โรงไฟฟ้าพลังน้ำ ไซยะบุรี (XPCL) และโครงการบริหารจัดการขยะอุตสาหกรรมของบริษัท ชลบุรี คลีนเอ็นเนอร์ยี จำกัด (CCE) รวมถึงการรับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้าของ GLOW ภายหลังการควบรวมกิจการแล้วเสร็จในปี 2562 ซึ่งเป็นผลทำให้รายได้ และกำไรของบริษัทมีทิศทางที่เติบโตเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ส่วนการปรับโครงสร้างทางการเงินตามแผนการชำระคืนเงินกู้ยืมระยะสั้น ซึ่งได้จากการเพิ่มทุนจำนวน 74,000 ล้านบาท และการออกและเสนอขายหุ้นกู้มูลค่า 35,000 ล้านบาทแล้วเสร็จในไตรมาสที่ 4 ปี 2562 เพื่อนำไปชำระคืนเงินกู้ระยะสั้น (Bridge Financing) ส่งผลให้ภาระดอกเบี้ยจ่ายและต้นทุนทางการเงินของบริษัทลดลง ส่วนกำไรสุทธิส่วนของบริษัทใหญ่ที่ไม่รวมค่าตัดจำหน่ายมูลค่ายุติธรรมของสินทรัพย์สุทธิที่ได้จากการเข้าซื้อกิจการ GLOW (Adjusted Net Income)มีจำนวนทั้งสิ้น 5,177 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1,818 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 54% ซึ่งเป็นตัวสะท้อนให้เห็นถึงผลกำไรจากการดำเนินงานของ GPSC ได้อย่างแท้จริง ซึ่งนอกจากเหตุผลข้างต้นแล้ว GPSC ยังมีผลการดำเนินการที่ดีจากโรงไฟฟ้าศรีราชา ซึ่งมีค่าความพร้อมจ่ายและชั่วโมงความพร้อมจ่ายตามสัญญาที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับการบริหารจัดการสัญญาค่าซ่อมบำรุงทำให้มีค่าใช้จ่ายที่ลดลง นายชวลิตกล่าวถึงทิศทางการดำเนินงานในปี 2563 บริษัทยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องจากปี 2562 เนื่องจากการรับรู้ผลประกอบการจาก GLOW ที่เข้ามาแบบเต็มปี รวมไปถึงรับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้าเพิ่มอีก 2 โครงการได้แก่ โครงการผลิตไฟฟ้านวนคร ส่วนขยาย (NNEG Expansion) กำลังการผลิตตามสัดส่วน 18 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงขยะ กำลังการผลิต 9 เมกะวัตต์ ซึ่งจะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในไตรมาส 3 ของปี 2563 และไตรมาส 2 ปี 2564 ตามลำดับ ทั้งนี้ในส่วนของสถานการณ์น้ำแล้งนั้น บริษัทได้มีการติดตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิดมาโดยตลอด และได้เตรียมมาตรการและแนวทางการบริหารจัดการน้ำร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน เพื่อให้สามารถดำเนินการผลิตไฟฟ้าและสาธารณูปโภคได้อย่างเพียงพอและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด บริษัทมั่นใจว่าโรงไฟฟ้าของบริษัทจะสามารถดำเนินงานและสนับสนุนภาคอุตสาหกรรมได้อย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงแสวงหาโอกาสในการเข้าลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าใหม่ๆ ทั้งในและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยในปีนี้คาดว่าจะได้ข้อสรุปการเข้าการลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าในประเทศอาเซียนเช่น การผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติ (Gas to Power) ที่ประเทศเมียนมา พร้อมทั้งการศึกษาและลงทุนในการพัฒนานวัตกรรมเพื่อการกักเก็บพลังงาน และโครงการพลังงานทดแทน รวมถึงโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติในแถบภูมิภาคอาเซียนและเอเชียตะวันตก เป็นต้น