คุมตัวพ่อโหดทำแผน สารภาพสิ้นไส้โมโหลูกที่เล่นเกมส์เล่นเฟสบุ๊คทางโทรศัพท์ สอบประวัติพบเคยติดคุก ใช้ชีวิตร่วมกับลูกน้อยจึงไม่ผูกพัน เมื่อเวลา 8.00 น.วันที่ 10 เม.ย.60 พลตำรวจตรีสรไกร พูลเพิ่ม ผู้บัญชาการตำรวจภูธรจังหวัดเพชรบุรี นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจกว่า 20 นาย ควบคุมตัวนายสุรินทร์ แก้วแหร้ อายุ 41 ปี อยู่บ้านเลขที่ 213 หมู่ 8 ต.เกาะเต่า อ.ป่าพะยอม จ.พัทลุง ผู้ต้องหา คดีใช้อาวุธมีด ปาดคอเด็กหญิง เอ นามสมมุติ (ด.ญ.นาตยา) แก้วแหร้ อายุ 13 ปี บุตรสาว ได้รับบาดเจ็บสาหัสไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพ ณ ที่เกิดเหตุภายในห้องเช่าไม่มีชื่อเลขที่ 114 / 5 หมู่ 1 ตำบลต้นมะม่วง อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบุรี ท่ามกลางชาวบ้านจำนวนหนึ่งที่มามุงดู เบื้องต้น นายสุรินทร์ให้การรับสารภาพว่า โกรธ โมโห หลุดสาวที่เล่นเฟสบุ๊ค และเล่นเกมส์ ทางโทรศัพท์บ่อยครั้ง เคยตักเตือนมาตลอด และเคยลงมือจับหัวโขกกำแพงให้เลิกเล่น แต่ก็ยังดื้อ ขณะเกิดเหตุบุตรสาวนอนเล่นโทรศัพท์ อยู่บนโซฟา ตนโมโห จึงเดินไปหยิบมีดทำครัวที่หลังบ้าน ออกมาแล้วปาดไปที่คอบุตรสาว บุตรสาวปัดป้องต่อสู้ จึงกระหน่ำ ฟันและปาดมีดไปมาหลายครั้ง จนจมกองเลือด จากนั้นจึงพา ด.ญ.บี บุตรสาวคนเล็กอายุ 5ขวบ ขี่รถจักรยานยนต์ซูซูกิ สแมส สีแดง-ดำ หมายเลขทะเบียน ขลย 30 ตรัง แบบมีพ่วงข้าง (ซาเล้ง) ตั้งใจหลบหนี จะกลับบ้านเกิดที่ จ.พัทลุงกระทั่งถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมตัวได้ขณะกำลังขี่ อยู่บนถนนเพชรเกษมในเขตพื้นที่ สภ.ห้วยยาง จ.ประจวบคีรีขันธ์ ทั้งนี้ขณะทำแผนประกอบคำรับสารภาพ นางหัตถยา แก้วแหร้ อายุ 44 ปี ภรรยาของนายสุรินทร์ และเป็นมารดาของ ด.ญ.เอ ผู้บาดเจ็บได้เดินทางมาถึง ตรงเข้าไปจะทำร้ายนายสุรินทร์พร้อมพูดว่ามึงทำลูกได้อย่างไร แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้าห้ามและควบคุมตัวแยกออกมา พล.ต.ต.สรไกร เปิดเผยว่า สอบสวนเบื้องต้นพบว่าผู้ต้องหากับลูกมีความผูกพันกันน้อยมากเนื่องจากไม่ค่อยได้อยู่ด้วยกันเนื่องจากก่อนหน้านี้ ผู้ต้องหาติดคุกกว่า 3 ปี หลังจากพ้นโทษได้ไปบวชพระนานกว่า 4 เดือน และก็ไปๆมา ไม่ได้อยู่กับแม่เด็ก และเด็กอย่างต่อเนื่อง กระทั่งเมื่อประมาณ 2 ปีที่ผ่านมาจึงได้มาอยู่รวมกัน จึงไม่ได้ผูกพันกับลูกมากนัก จึงลงมือได้อย่างโหดเหี้ยม จากการสอบสวนพบชนวนเหตุเพียงเรื่องเดียวคือผู้ต้องหาไม่พอใจบุตรสาวที่เล่นเฟสบุ๊คและเกมส์มือถือ ไม่มีเรื่องชู้สาวแต่ก็ยังไม่ตัดประเด็นนี้ ส่วนอาการของ ด.ญ.เอ ผู้บาดเจ็บขณะนี้อาการดีขึ้นแล้วแต่ยังต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด แพทย์สั่ง ห้ามเยี่ยม และห้ามพูด