“สมคิด”ย้ำทุกฝ่ายต้องช่วยกันขับเคลื่อนเศรษฐกิจฝ่าวิกฤติ 5 มรสุมลูกใหญ่ มั่นใจจีดีพีปีนี้โต 2% เร่ง TFFIF 2 หรือออกพันธบัตรหวังใช้ลงทุนโครงการใหญ่ หลังการใช้จ่ายงบปี 63 อาจล่าช้าไปหลังพ.ค.63 ลุ้นศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยงบ 63 พรุ่งนี้(7ก.พ.)พร้อมจี้แบงก์ลดดอกเบี้ยเงินกู้ตาม กนง. นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาหัวข้อ ถอดรหัสเศรษฐกิจปี 2020 ว่า ตั้งแต่มีการเลือกตั้งมาถึงวันนี้ นับเป็นเวลา 1 ปีเต็ม เศรษฐกิจประเทศไทยเจอมรสุมหลายลูก รัฐบาลไม่ต้องการให้ประชาชนตื่นกลัว อยากให้เชื่อมั่นว่าประเทศไทยจะผ่านไปได้ โดยมรสุมลูกแรกที่ประเทศไทยต้องเจอ คือการตั้งรัฐบาลล่าช้ากว่า 7 เดือน ระหว่างนั้นต้องเป็นรัฐบาลรักษาการ ทำให้การขับเคลื่อนงบประมาณมีความยากลำบาก เพราะข้าราชการและหน่วยงานจะรอว่าใครจะมาเป็นรัฐบาลใหม่ ทำให้ตัวเลขการลงทุนชะลอตัวอย่างมาก ส่วนมรสุมลูกที่ 2 คือเรื่องสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่ส่งผลกระทบกับการส่งออกของไทยอย่างชัดเจน โดยทุกประเทศโดนหมด แต่ประเทศไทยโดนหนักกว่า เพราะมีการส่งออกในอุตสาหกรรมรถยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ เคมิคอล ขณะที่เศรษฐกิจภายในประเทศอ่อนแอ เกษตรกรมีรายได้น้อยและยากจน ประเทศไทยจึงมีความจำเป็นต้องปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ ต้องสร้างความสมดุลในการพึ่งพาเศรษฐกิจต่างประเทศและในประเทศเพื่อให้เศรษฐกิจโตได้อย่างมีเสถียรภาพ โดยเศรษฐกิจไทยไม่ได้ถดถอย แต่ต้องสร้างความสมดุลของเศรษฐกิจทั้งภายนอกและภายในประเทศ ซึ่งทำมาตลอด หากไม่ทำวันนี้เศรษฐกิจโลกตก เศรษฐกิจไทยจะแย่กว่านี้ อย่างประเทศสิงคโปร์ จีดีพีโตได้ 1% แย่กว่าไทยที่เติบโตได้ 2% ถือว่าดีแล้ว สำหรับมรสุมเศรษฐกิจลูกที่ 3 คือเรื่องเงินบาทที่แข็งค่า ซึ่งถือเป็นระเบิดลูกใหญ่ เนื่องจากมีการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดจำนวนมาก ทุนสำรองระหว่างประเทศอยู่ในระดับสูง เป็นสวรรค์ของนักลงทุนที่มีการนำเงินทุนเข้ามาหาผลกำไรในประเทศไทย โดยที่ผ่านมาคลังและ ธปท.ได้ดูแลค่าเงินบาท แต่สหรัฐฯจับตามองอยู่ว่าไทยมีการแทรกแซงค่าเงินบาทเพื่อประโยชน์ทางการค้าหรือไม่ “วันนี้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลง เป็นผลดีกับผู้ส่งออก แต่ผู้ประกอบการไม่ควรหวังเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนอย่างเดียว ต้องพัฒนาตัวเองด้วย รัฐบาลออกมาตรการให้ปรับโครงสร้างอุตสาหกรรม โดยการเปลี่ยนเครื่องจักร และให้สามารถนำค่าใช้จ่ายมาหักลดหย่อนภาษีได้ 2.5 เท่า หากผู้ประกอบการยังไม่ปรับตัวก็อย่ามาโวยวาย เพราะที่ผ่านมาเอกชนไม่ปรับตัว สะท้อนการลงทุนของภาคเอกชนที่นิ่งอยู่ที่ 16% ของจีดีพี ไม่มีการปรับตัวเพิ่มขึ้น” ขณะที่มรสุมลูกที่ 4 เรื่องการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา ไม่อยากให้ประชาชนตกใจ เพราะประเทศไทยเคยเจอโรคระบาดมาหลายครั้งก็สามารถผ่านมาได้ ตอนนี้นักท่องเที่ยวต่างชาติไม่มาเที่ยวไทย คนไทยต้องมาช่วยกันเที่ยวไทย โดยกระทรวงการคลังจะออกมาตรการชิมช้อปใช้เฟส 4 เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายและการท่องเที่ยวในประเทศ หาก ครม.เห็นชอบก็จะดำเนินการทันที ทั้งนี้มรสุมลูกที่ 5 เรื่องความล่าช้าของงบประมาณปี 2563 ควรจะได้ใช้ตั้งแต่เดือน ต.ค.62 แต่ติดปัญหา ยังโชคดีที่ศาลรัฐธรรมนูญจะพิจารณาในวันที่ 7 ก.พ. นี้ โดยคาดว่าจะเริ่มใช้งบประมาณได้ในเดือน พ.ค.63 ก็จะทำให้เหลือเวลาใช้งบประมาณแค่ 4 เดือน ก็ได้มีการสั่งการหน่วยงานให้เตรียมพร้อมไว้แล้ว หากมีปัญหาเงินลงทุนไม่พอ กระทรวงการคลังจะมีการกู้เงิน หรือออกกองทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อระดมเงินมาลงทุน ซึ่งได้เตรียมการไว้หมดแล้ว ขณะที่ในส่วนของ ธปท.ได้มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเหลือ 1% ซึ่งต้องถาม ธปท.ว่าทำช้าไปหรือไม่ และเมื่อลดดอกเบี้ยนโยบายลงมาแล้ว หากไม่สามารถทำให้สถาบันการเงินลดดอกเบี้ยให้กับผู้กู้เงินได้ ก็ไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะไปลดดอกเบี้ยนโยบาย เศรษฐกิจในช่วงนี้ต้องช่วยกันประคอง ไม่อยากว่าใคร เพราะจะทำให้ประชาชนสิ้นหวัง ทุกอย่างผ่านพ้นไปได้ ปีนี้เศรษฐกิจโตได้ 2% ถือว่าดีพอสมควรแล้ว โดยรัฐบาลมีโครงการอีอีซี เพื่อดึงนักลงทุนเข้ามาเกิดเครื่องยนต์ใหม่ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เชื่อว่าเป็นที่น่าสนใจของนักลงทุน เพราะในโครงการอีอีซี มีระบบโครงสร้างพื้นฐานที่ดี มีสนามบิน รถไฟความเร็วสูง ระบบสื่อสาร 5G ซึ่งไม่มีประเทศไหนทำได้ โดย 5G จะมีการเปิดซองประมูลในวันที่ 16 ก.พ.นี้ ผู้ประกอบการที่ชนะพร้อมจะลงทุนทันที อีกทั้งในเดือน มี.ค.63 จะเดินทางไปสหรัฐฯที่ซิลิคอนวัลเล่ย์ ซึ่งมีผู้ประกอบการรายใหญ่ 4-5 ราย พร้อมที่จะเข้ามาลงทุนเทคโนโลยีและระบบการสื่อสารในอีอีซีของไทย สำหรับปัญหาเรื่องรัฐบาลถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ ถือเป็นการทำงานปกติของฝ่ายค้าน รัฐบาลมีหน้าที่ชี้แจง เมื่อชี้แจงเสร็จก็ต้องร่วมกันทำงานต่อไป เอกชนต้องเข้ามาร่วมช่วยเหลือขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ส่วนข้าราชการ หน่วยงานต่าง ๆก็ทำเต็มที่ ตนไม่ได้เป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ พูดอะไรมากกว่านี้ไม่ได้