"จุรินทร์" เซ็นประกาศ!! ควบคุมราคา-คุมการส่งออกหน้ากากอนามัย เน้นให้ขายราคาเป็นธรรมกระจายทั่วถึงในประเทศ เมื่อวันที่ 5 ก.พ. นางมัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข ที่ปรึกษารทว.พาณิชย์ กล่าวว่า นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ เซ็นต์ประกาศคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ ฉบับที่ 2-7 รวม 6 ฉบับรวดเดียววันนี้ หลังจากที่ได้ประกาศฉบับที่ 1 ไปเมื่อวานนี้ (4 กุมภาพันธ์ 2563) เกี่ยวกับกำหนดเรื่องหน้ากากอนามัย-เจลล้างมือ-วัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตหน้ากากอนามัย (Spunbond) เป็นสินค้าควบคุม โดยประกาศนี้เกี่ยวกับการควบคุมการส่งออกไปนอกราชอาณาจักรซึ่งหน้ากากอนามัย การแจ้งข้อมูลการแสดงราคาและการปันส่วนหรือจำหน่ายหน้ากากอนามัย การแจ้งราคาและปริมาณเกี่ยวกับใยสังเคราะห์ Polypropylene (Spunbond) เพื่อใช้ในการผลิตหน้ากากอนามัย การแจ้งและการแสดงราคาผลิตภัณฑ์ที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนประกอบเพื่อสุขอนามัยสำหรับมือ นอกนั้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับกระดาษ และประกาศฉบับที่ 7 คือเรื่องการแจ้งราคากำหนดหลักเกณฑ์เงื่อนไขเกี่ยวกับการจำหน่ายยารักษาโรคเวชภัณฑ์ ค่าบริการรักษาพยาบาล บริการทางการแพทย์ และบริการอื่นของสถานพยาบาล (เพิ่มเติม) ซึ่งสาระสำคัญของประกาศที่เกี่ยวกับหน้ากากอนามัยในสถานการณ์นี้นั้น คือ ห้ามไม่ให้บุคคลใดส่งออกไปนอกราชอาณาจักรซึ่งหน้ากากอนามัยที่มีปริมาณครั้งละตั้งแต่ 500 ชิ้นขึ้นไปเว้นแต่จะได้รับหนังสืออนุญาตจากเลขาธิการหรือผู้ซึ่งเลขาธิการมอบหมาย (กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์) และการขออนุญาตเพื่อนำออกนอกราชอาณาจักร จะต้องติดต่อเจ้าพนักงานที่สำนักงานคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการกรมการค้าภายใน โดยกระทรวงพาณิชย์ ส่วนหลักเกณฑ์วิธีการและเงื่อนไขในการขออนุญาตการอนุญาต แบบหนังสืออนุญาตและวิธีการส่งออกจะต้องให้เป็นไปตามที่เลขาธิการกำหนด จากนั้นให้ผู้ได้รับหนังสืออนุญาตส่งออกไปนอกราชอาณาจักรซึ่งหน้ากากอนามัยต้องส่งออกให้ตรงตามชนิดประเภท ขนาด ปริมาณ ระยะเวลา สถานที่ ตามที่ระบุไว้ในหนังสืออนุญาต รวมทั้งจะต้องนำหนังสืออนุญาตกำกับการส่งออกไปด้วยทุกครั้ง และหนังสืออนุญาตใช้เฉพาะการส่งออกครั้งเดียวเท่านั้น และการแจ้งข้อมูลกำหนดให้ผู้ผลิต ผู้นำเข้า ผู้ส่งออก ตัวแทนจำหน่ายหน้ากากอนามัย จะต้องแจ้งข้อมูล แสดงราคาและปันส่วนหรือจำหน่ายหน้ากากอนามัยเพื่อให้ราคาและปริมาณอยู่ในระดับที่เหมาะสมและเป็นธรรมต่อทุกฝ่าย โดยในรายละเอียดคือจะต้องแจ้งต้นทุนการผลิต ราคาซื้อ ราคาขายปริมาณการผลิต ปริมาณการนำเข้า ปริมาณการส่งออก ปริมาณการจำหน่ายของเดือนมกราคม 2563 ภายในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2563 และให้แจ้งครั้งต่อไปเป็นประจำทุกเดือนภายในวันที่ 10 ของเดือนถัดไป ทั้งนี้ราคาจำหน่ายต้องสอดคล้องกับต้นทุนและให้ผู้ผลิตผู้นำเข้าผู้ส่งออกและตัวแทนจำหน่ายแจ้งปริมาณคงเหลือที่เป็นอยู่ในวันที่ประกาศนี้ และแจ้งต่อไปประจำทุกเดือนและห้ามจำหน่ายหน้ากากอนามัยราคาที่สูงกว่าราคาที่แจ้งไว้ และให้ผู้ผลิตผู้นำเข้าตัวแทนจำหน่ายปันส่วนหรือจำหน่ายหน้ากากอนามัยแก่ศูนย์บริหารจัดการสินค้าหน้ากากอนามัยของกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ทั้งนี้ตามปริมาณราคาหลักเกณฑ์วิธีการและเงินไขที่เลขาธิการกำหนดด้วย จากนั้นกรมการค้าภายใน โดยนายวิชัย โภชนกิจ อธิบดีกรมการค้าภายใน ได้ขอความร่วมมือห้าง ร้านสะดวกซื้อ จำกัดการซื้อหน้ากากอนามัยไม่เกินคนละ 10 ชิ้น แต่ขายน้อยกว่าได้ ขึ้นอยู่กับสต๊อก สั่งผู้ผลิต ผู้ค้า ผู้นำเข้า ผู้ส่งออก แจ้งราคาซื้อ-ขาย สต๊อก การผลิต นำเข้า ส่งออก ส่วนการส่งออกเกิน 500 ชิ้นต้องขออนุญาตตามประกาศ พร้อมทั้งให้กันบางส่วนให้พาณิชย์นำจัดสรรให้คนที่จำเป็นต้องใช้และขายผ่านร้านธงฟ้าทั่วประเทศ เริ่ม 6 ก.พ.นี้ ซึ่งอธิบดีกรมการค้าภายใน ได้หารือร่วมกับผู้ประกอบการห้างค้าปลีก ห้างสรรพสินค้า และร้านสะดวกซื้อ ว่า ได้ขอความร่วมมือผู้ค้าจำกัดการซื้อหน้ากากอนามัยของประชาชน โดยจำกัดปริมาณการซื้อไม่เกินคนละ 10 ชิ้น แต่บางห้างอาจจะขายให้ได้ไม่เกิน 4 หรือ 5 ชิ้น แล้วแต่สต๊อกของผู้ค้าแต่ละราย เพื่อให้ประชาชนซื้อได้ทั่วถึง ซึ่งจะเริ่มดำเนินการได้ตั้งแต่วันที่ 6 ก.พ.นี้เป็นต้นไป แต่หากการขอความร่วมมือยังไม่สามารถทำให้สินค้ากระจายได้อย่างทั่วถึง จะใช้อำนาจตามกฎหมายว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ ออกมาตรการบังคับให้ห้างจำกัดการขายต่อไป อธิบดีกรมการค้าภายใน ระบุว่า สำหรับการนำหน้ากากอนามัยและวัตถุดิบรวมถึงเจลแอลกอฮอล์ล้างมือ เข้าสู่บัญชีและบริการควบคุม มีผลใช้บังคับไปแล้วเมื่อวันที่ 4 ก.พ.2563 ที่ผ่านมา ล่าสุดกรมการค้าภายในได้ขอความร่วมมือกรมศุลกากร หากไม่มีหนังสืออนุญาตจากกรมฯ ห้ามให้ส่งออกโดยเด็ดขาด และผู้ผลิตหน้ากากอนามัยทุกราย จะต้องจัดสรรหน้ากากอนามัยบางส่วนมาให้ศูนย์บริหารจัดสรรหน้ากากอนามัย กระทรวงพาณิชย์ เพื่อให้กระทรวงสามารถจัดสรรไปให้กับผู้ที่มีความจำเป็นต้องใช้ก่อนอย่างบุคลากรทางการแพทย์ ผู้ที่ให้บริการนักท่องเที่ยว เช่น พนักงานโรงแรม บริษัททัวร์ รวมถึงผู้ป่วย ที่เป็นกลุ่มเสี่ยง โดยผู้ผลิตต้องเริ่มจัดสรรมาให้กระทรวงตั้งแต่วันที่ 6 ก.พ.นี้เป็นต้นไป และกรมฯ ยังจะนำไปกระจายผ่านร้านธงฟ้า ที่มีอยู่ทั่วประเทศกว่า 120,000 ร้านค้า ทั้งนี้ทางอธิบดีกรมการค้าภายในระบุว่าหากประชาชนทั่วไปต้องการประสานงานสอบถามสามารถติดต่อเบอร์ 1569 ได้ทันที