วันที่ 2 ก.พ. 63 นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีพรรคร่วมฝ่ายค้านยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีรวม 6 คน ว่า ความรู้สึก อารมณ์ร่วม ความเห็นพ้องต้องกันของประชาชนตกผลึก และไปไกลเกินกว่าปฏิทินการอภิปรายไม่ไว้วางใจแล้ว พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ต้องไปหาคำตอบมาว่าทำไมระยะเวลา 6 ปีที่ไม่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจ แต่คะแนนความนิยมทั้งส่วนตัวพล.อ.ประยุทธ์ และของรัฐบาลตกต่ำลงเรื่อยๆแทบทุกด้าน นายอนุสรณ์ ระบุว่า เรามาถึงจุดที่มีการปั่นไอโอว่าคนเสนอแนะหาแนวทางแก้ไขปัญหาไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ กลายเป็นคนไม่รักชาติ คนร้องส.ส.เสียบบัตรแทนกัน กลายเป็นพวกไม่รู้แพ้รู้ชนะรู้อภัย พรรคการเมืองฝ่ายค้านที่ขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ ใช้กลไกในระบบรัฐสภาเป็นเครื่องมือในการตรวจสอบรัฐบาล ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ กลายเป็นกลุ่มคนไม่หวังดีต่อประเทศชาติ แสดงว่าในมุมคิดของคนทำปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารเครือข่ายระบอบประยุทธ์ คือ ไม่ว่ารัฐบาลนี้จะนำพาบ้านเมืองไปในทิศทางใด ถูกหรือผิด ก็ห้ามเสนอแนะ ให้ประชาชนยึดแนวทาง เชื่อผู้นำชาติพ้นภัย ทั้งที่เห็นกันอยู่ว่า รัฐบาลนี้มีศักยภาพในระดับใด นายอนุสรณ์ กล่าวด้วยว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ ฝ่ายค้านไม่ได้เตรียมผู้อภิปรายโดยยึดหลักปริมาณ แต่เน้นคุณภาพของข้อมูล ต้องมีใบเสร็จหรือหลักฐานสำคัญที่ชี้ให้เห็นว่ามีการบริหารงานที่ผิดพลาดล้มเหลวจนนำความเสียหายมาสู่ประเทศชาติและประชาชน ใน 3 ป. ใครจะโดนมากโดนน้อยไม่ใช่ปัญหา เพราะประชาชนเริ่มตั้งคำถามถึงกระแสข่าวความขัดแย้งของกลุ่มที่รัฐประหารยึดอำนาจมาด้วยกัน ที่วันนี้ความสัมพันธ์อาจไม่เหมือนเดิม “ลูกหาบฝ่ายรัฐบาลอย่าออกมาแสดงอาการเลอะเทอะ ห้ามอภิปรายเรื่องเก่า ทั้งที่ไม่ใช่หน้าที่ของคนที่ออกมาพูด ผู้ที่จะทำหน้าที่วินิจฉัยให้พูดได้หรือไม่คือประธานสภา การมาตั้งท่าจะประท้วงตีรวน ขู่เสนอปิดอภิปราย ประชาชนไม่ได้ประโยชน์ เบื่อหน่าย กลายเป็นการเมืองน้ำเน่ารีรัน ความกลัวทำให้เสื่อม ระบอบประยุทธ์ อย่าปากกล้าขาสั่น นอกจากจำนวนมือในสภา ที่จะตัดสินว่ารัฐบาลจะได้ไปต่อหรือไม่ ประชาชนจะเป็นแรงกดดันสำคัญต่อรัฐบาล หากไม่สามารถตอบคำถามได้” นายอนุสรณ์ กล่าว