ผลพวงจากความขัดแย้งของ “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล กับ “บิ๊กแป๊ะ” พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ดูจะไม่จบง่ายๆ เพราะเปิดหน้าชกกันเสียขนาดนี้ ! แม้ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ซึ่งคุมตำรวจ จะสั่งย้าย “บิ๊กต้อย” พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา พ้น รอง ผบ.ตร. เข้ากรุสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมทั้งออกคำสั่งเตือน พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ให้รักษาวินัยและจรรยาข้าราชการอย่างเคร่งครัด แล้วก็ตาม แต่น่าจะเป็นการเริ่มต้นของศึกสีกากี ครั้งใหม่ที่เปิดหน้ากันชัดๆ ในรูปการนี้ มองกันว่า พล.อ.ประยุทธ์ เลือกข้าง “บิ๊กแป๊ะ” พล.ต.อ.จักรทิพย์ เพราะทั้ง พล.ต.อ.วิระชัย และ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ถูกมองเป็นพวกเดียวกัน ในสายตา พล.ต.อ.จักรทิพย์ อันเป็นผลจาก คลิปเสียงสนทนา ระหว่าง พล.ต.อ.วิระชัย กับ พล.ต.อ.จักรทิพย์ เรื่องคดียิงรถ “บิ๊กโจ๊ก” ที่หลุดออกมา จนทำให้ ถูกเด้งพ้น สตช. ในครั้งนี้ รวมทั้งการออกประกาศฯ เตือน พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ด้วยถ้อยคำรุนแรง เสมือนเป็นการประจาน แม้ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ จะหลบกระแสการเมืองในสตช. ไปบวชพระ ที่พุทธคยา อินเดีย ก็ตาม แต่ก็ถูกมองว่า เป็นการบวช แก้เคล็ด ตามความเชื่อ หลีกเลี่ยงสิ่งไม่ดี และ ทดแทนคุณพ่อแม่ และชดใช้ให้ เจ้ากรรมนายเวร เพื่อหวังที่จะออกมา แล้วมีแต่โชคดี เมื่อสึกแล้ว เพราะความคาดหวังของ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ คือ การได้กลับมารับราชการใน สตช. ได้กลับมาเป็นตำรวจ อีกครั้ง ให้ได้ ในอายุราชการ 11 ปี ที่เหลืออยู่ แม้จะรู้ว่า ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ คงได้รู้ได้เห็นแล้วว่า ใครอยู่เคียงข้าง หรือ อยู่ตรงข้าม เขาบ้าง อันสะท้อนให้เห็น จากการที่ พล.ต.อ.วิระชัย พ้นจากการเป็น ตำรวจราชองครักษ์ พร้อมกระแสข่าวลือ ให้จับตา อนาคตของ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป หลังการบวช แม้จะมี แรงเชียร์ให้ ลาออกมาเล่นการเมือง โดยเฉพาะ จากฝ่ายค้าน แต่ เขายังคงรอวันที่จะกลับมาสวมเครื่องแบบสีกากี อีกครั้ง แต่ที่น่าห่วงคือ หากมีการผลักไส กดดัน มากๆ อาจทำให้ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ย้ายขั้วย้ายข้าง เลย ด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ จนมาในตอนนี้จึงมีข่าวลือเรื่องความขัดแย้งระหว่างพล.อ.ประยุทธ์ และพล.อ.ประวิตร จากการที่ พล.อ.ประยุทธ์เด้ง พล.ต.อ.วิระชัย พ้น รองผบ.ตร. และการออกคำสั่งเตือน พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ แต่ในที่สุด พล.อ.ประวิตรก็ออกมาสยบข่าวลือยืนยันว่าไม่เคยมีความขัดแย้งกับพล.อ.ประยุทธ์ในเรื่องการโยกย้ายตำรวจ “เพราะได้คุยกันก่อน คุยกันทุกเรื่องอยู่แล้ว ก่อนที่จะมีการโยกย้ายหรือออกคำสั่งใด” พล.อ.ประวิตร กล่าว พร้อมยืนยันว่าตนเองกับ พล.อ.ประยุทธ์ รู้จักกันมานานอยู่ด้วยกันมาในกรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์ ตั้งแต่ยังเป็นนายทหารเด็กๆ ตนเองเป็น ร้อยเอก ส่วน พล.อ.ประยุทธ์เป็นร้อยตรี อยู่กันมาจนเกษียณ “เลิกพูดได้เลย เรื่องผมขัดแย้งกับนายกฯ ไม่มี” บิ๊กป้อม กล่าว ปฏิบัติการ “เสี้ยม”ให้สองพี่น้องแห่งบูรพาพยัคฆ์พี่ใหญ่และน้องเล็ก หมางใจกันยังคงเดินหน้าต่อไป ด้วยการกระพือข่าว การปรับคณะรัฐมนตรี ที่จะดึงพล.อ.ประวิตร ออกไปพักผ่อน โดยให้เหตุผลเรื่องสุขภาพ แต่ทว่าเป็นความต้องการที่พล.อ.ประยุทธ์ ผ่าตัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ปฏิรูปวงการสีกากีอย่างเต็มที่เสียที เพราะที่ผ่านมา อาจเกรงใจพล.อ.ประวิตร ซึ่งคุมตำรวจมายาวนาน 5 ปีในยุครัฐบาลคสช. และยังคงมีพาวเวอร์อยู่จนทุกวันนี้ แม้จะไม่ได้คุมตำรวจแล้วก็ตาม แต่นายตำรวจส่วนใหญ่ก็ยังเป็นคนของ พล.อ.ประวิตร เมื่อครั้งที่ พล.อ.ประยุทธ์ประกาศว่าจะคุมสำนักงานตำรวจแห่งชาติเอง โดยให้พล.อ.ประวิตร เป็นรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงตำแหน่งเดียวนั้น ก็เคยถูกมองว่ามีความขัดแย้ง แต่ในความเป็นจริงแล้วเพราะ พล.อ.ประยุทธ์ต้องการลดปริมาณงานของพล.อ.ประวิตร ลงและต้องการมอบหมายให้ พล.อ.ประวิตร ไปดูแลงานด้านการเมืองด้วยการเป็นประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคพลังประชารัฐ และนั่งคุมพรรคพลังประชารัฐด้วยตนเอง แต่ก็ถูกนำไปบิดเบือนว่าเป็นความขัดแย้งของพี่ใหญ่กับน้องเล็กในเรื่องการคุมตำรวจ จึงไม่แปลกที่ครั้งนี้จะถูกปล่อยกระแสข่าวลือว่า พี่ใหญ่อยู่เบื้องหลังการออกมาเคลื่อนไหวของ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ในครั้งนี้เพราะต้องการจะกลับมาคุมตำรวจเหมือนเดิม แต่ก็กลับไปที่เหตุผลเดิม ที่ว่าพล.อ.ประยุทธ์ ต้องคุมตำรวจเองเพราะต้องการให้พล.อ.ประวิตรไปทำงานด้านการเมือง ไปคุมพรรคพลังประชารัฐ อีกทั้งในทางปฏิบัติแล้ว แม้พล.อ.ประยุทธ์ จะคุมตำรวจ แต่ก็มีการปรึกษาหารือ พล.อ.ประวิตร อยู่เสมอ โดยเฉพาะเรื่องสำคัญๆ ก็จะหารือสอบถามพล.อ.ประวิตร ก่อน ไม่แค่นั้นข่าววงในมูลนิธิป่ารอยต่อห้าจังหวัดฯ ของพล.อ.ประวิตร ยังร่ำลือกันว่าตั้งแต่เกิดเรื่องถูกโยกย้าย พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ก็ไม่ได้เข้ามาเพราะ พล.อ.ประวิตร ที่นี่เลย เพราะ พล.อ.ประวิตร ก็ไม่อยากตกเป็นข่าวเนื่องจาก พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ยังคงเป็นเป้าถูกโจมตีและถูกจับตามอง จึงทำให้พล.อ.ประวิตรย้ำหลายครั้งว่าตนเองไม่ได้เจอ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ มานานแล้วและไม่เคยได้คุยเลยแม้แต่ตอนมีเรื่อง ที่สำคัญก่อนที่ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ จะเดินทางไปบวชที่พุทธคยา อินเดีย พล.อ.ประวิตร ยืนยันว่าก็ไม่ได้มาลา ตามประเพณีในการขออโหสิกรรม ก่อนบวชแต่อย่างใด แม้จะมีบางกระแสระบุว่า ยังมีการโทรศัพท์พูดคุยกันเป็นปกติ เพราะถึงอย่างไรพล.อ.ประวิตร ก็ตัดขาดจาก พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ไม่ได้ เหล่านี้ จึงทำให้กระแสข่าวหรือความขัดแย้งของพล.อ.ประวิตร กับพล.อ.ประยุทธ์ ยังคงมีอยู่ ! และถูกนำมากระพือเสี้ยมให้เกิดความไม่เข้าใจกันเป็นระยะๆ จนถึงการปล่อยกระแส ปรับคณะรัฐมนตรี ที่จะปรับ “พี่ใหญ่” ออก อันเป็นผลมาจากความขัดแย้งในวงการสีกากี ครั้งนี้นั่นเอง รวมถึงกระแสข่าวการลงสู่สนามการเมืองของ พล.ต.อ. จักรทิพย์ หลังเกษียณราชการ 30 กันยายนนี้ รวมทั้งจะได้นั่งเก้าอี้รัฐมนตรีในรัฐบาลของพล.อ.ประยุทธ์เพื่อคุมงานด้านความมั่นคงอีกด้วย อนาคตของ พล.อ.ประวิตร อนาคตของ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ จึงถูกจับตามอง อย่างยิ่ง !!