ท่ามกลางประกายความหวังที่จะได้เห็นเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว ภายหลังจากตัวแทนระดับสูงของ “สหรัฐอเมริกา” และ “สาธารณรัฐประชาชนจีน” หรือ “จีนแผ่นดินใหญ่” สองมหาอำนาจพี่เบิ้มยักษ์ใหญ่แห่งยุค จรดปากกาลงนามในข้อตกลงการค้ากันไปเฟสแรก เพื่อคลี่คลายข้อพิพาทบาดหมางทางการค้าที่มีต่อกันนานนับขวบปี ก็ปรากฏว่า ความหวังข้างต้น มีอันต้องภินท์พังลงล้มครืนอย่างไม่เป็นท่า หลังการปรากฏตัวของ “ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019” หรือ “ไวรัสอู่ฮั่น” เพราะมีต้นตอมาจากเมืองอู่ฮั่น มณฑลเหอเป่ย จีนแผ่นดินใหญ่ ซึ่งเริ่มขึ้นเมื่อปลายปีที่แล้ว ก่อนอาละวาดระบาดอย่างหนัก จนมีผู้ล้มป่วย เฉพาะในจีน ก็มีจำนวนมากกว่า 6,000 คน ในจำนวนนี้มีผู้เสียชีวิตไปแล้ว 132 ราย ส่วนผู้ที่ต้องสงสัยว่าจะติดเชื้อก็มีจำนวน 9,000 คน และมีผู้ต้องติดตามดูอาการเพราะมีประวัติใกล้ชิดกับผู้ป่วยอีกจำนวนเกือบ 70,000 คน นอกจากในจีนแผ่นดินใหญ่แล้ว “ไวรัสอู่ฮั่น” ยังแผลงฤทธิ์อาละวาดนอกแดนมังกร ประเทศต่างๆ ณ เวลานี้อย่างน้อย 17 ประเทศด้วยกัน รวมทั้งไทยเราด้วย เรียกว่า เกือบจะทั่วทั้งภูมิภาคโลกเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นเอเชียตะวันออก เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เอเชียใต้ ตะวันออกกลาง ออสเตรเลีย ยุโรป และอเมริกาเหนือ มีเพียงแอฟริกา และอเมริกาใต้ ที่ยังไม่พบผู้ป่วยจากไวรัสร้ายชนิดนี้ ณ ชั่วโมงนี้ โดยมีความหวั่นวิตกกันว่า สถานการณ์แพร่ระบาดดังกล่าว ยังคงคุกคามอยู่ต่อไปนี้ ซึ่งกว่าจะยุติลงก็คาดการณ์กันว่า อาจต้องใช้เวลาลากยาวนานนับเดือนกว่าไวรัสอู่ฮั่นจะสงบอย่างราบคาบ และก็หมายความว่า โลกยังคงต้องผวาไวรัสชนิดนี้ที่ทำให้ผู้ติดเชื้อจะมีอาการปอดบวม ปอดอักเสบ ต่อไปอีกในเวลาพอสมควร พร้อมๆ กับความหวั่นวิตกที่บรรดานักวิเคราะห์ออกมาแสดงทรรศนะถึงผลกระทบที่จะมีต่อภาคส่วนต่างๆ โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ ซึ่งมิใช่แต่เฉพาะเศรษฐกิจของจีนแผ่นดินใหญ่เท่านั้น แต่ยังกระทบลามเลยไปถึงเศรษฐกิจโลกด้วย พร้อมกันนั้น บรรดานักวิเคราะห์ก็หยิบยกในวิกฤติโรคซาร์ส หรือโรคระบบทางเดินหายใจเฉียบพลัน ซึ่งเป็นเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ก่อน ที่เคยแพร่ระบาดอาละวาดในจีนแผ่นดินใหญ่ เมื่อ 17 ปีก่อนว่า ในครั้งกระนั้นวิกฤติโรคซาร์ส นอกจากคร่าชีวิตผู้คนไป 774 ราย และทำให้มีผู้ป่วยเป็นจำนวน 8,098รายแล้ว ก็ยังทุบถองเศรษฐกิจของจีนแผ่นดินใหญ่ คิดเป็นมูลค่าตัวเงินก็อยู่ราว 4หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และมีผลต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ โดยทำให้ตัวเลขจีดีพี คือ ผลผลิตมวลรวมภายในประเทศของจีน ลดลงถึงร้อยละ 2 จากร้อยละ 11.1 เหลือเพียงร้อยละ 9.1 แล้ว เศรษฐกิจโลกจีดีพีโดยรวมก็ได้รับผลกระทบไปไม่น้อยกว่าร้อยละ 1 - 2 ด้วยเช่นกัน เรียกว่า ไม่ผิดอะไรกับคำเปรียบเปรยที่ว่า เมื่อจีนจาม ก็พลอยทำให้ชาวโลกเป็นหวัดไปด้วยฉะนั้น ขณะที่ วิกฤติไวรัสอู่ฮั่น โคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ 2019 หนล่าสุด ที่กำลังแพร่ระบาด ณ วินาทีนี้ ซึ่งปรากฎว่า ทำให้มีผู้ป่วยจำนวนมากกว่าโรคซาร์ส คือ แซงผ่านไปแล้วที่กว่า 9,000 ราย แต่ยังมีผู้เสียชีวิตน้อยกว่าในตัวเลข ณ เวลานี้ แต่บรรดานักวิเคราะห์แสดงทรรศนะว่า น่าจะทำให้เศรษฐกิจของจีน รวมไปถึงเศรษฐกิจโลก ได้รับผลกระทบเดือดร้อนเป็นประการต่างๆ ไปจำนวนไม่น้อย โดยการประเมินเบื้องต้นของเหล่านักวิเคราะห์ ก็คาดการณ์ว่า เป็นตัวเลขเม็ดเงินไม่ต่ำกว่า 1.36 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ พร้อมกับฉุดจีดีพี ตัวเลขการขยายตัวเศรษฐกิจของจีนไม่น้อยกว่ร้อยละ0.5 – 1 อันจะส่งผลทำให้ตัวเลขการเติบโตของเศรษฐกิจจีนในปี 2020 (พ.ศ. 2563) ไปไม่ถึงฝั่งฝันที่ทางการปักกิ่ง ภายใต้การนำของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง หมายมั่นปั้นมือเอาไว้ที่ร้อยละ 6 ซึ่งน้อยกว่าร้อยละ 6.1 ของตัวเลขการขยายตัวทางเศรษฐกิจของจีนเมื่อปีที่แล้ว ทั้งนี้ ผลกระทบทางเศรษฐกิจอันสืบเนื่องจากการแพร่ระบาดของไวรัสอู่ฮั่น ณ เวลานี้ ยังทำลายความหวังที่จะบรรลุเป้าหมายของรัฐบาลประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ที่เคยประกาศก่อนหน้านี้ด้วยว่า จะพยายามทำให้เศรษฐิจของจีน เพิ่มขนาดให้ใหญ่ถึง 2 เท่า เมื่อเปรียบเทียบกับช่วง 10 ปีก่อน ด้วยผลกระทบที่จะต่อเนื่องต่างๆ ตามมา ไม่ว่าจะเป็นการย้ายฐานการผลิตในภาคอุตสาหกรรมจากต่างชาติที่เข้าไปดำเนินกิจการในจีนแผ่นดินใหญ่ เช่น ญี่ปุ่น สหรัฐฯ หลังเผชิญหน้ากับการแพร่ระบาดของโรคร้ายมาหลายครั้ง ยกตัวอย่างเช่น “เจเนอรัล มอเตอร์ส” หรือ “จีเอ็ม” จากสหรัฐฯ ที่เข้าไปดำเนินกิจการด้านยานยนต์ในเมืองอู่ฮั่น มณฑลเหอเป่ย หรือบรรดาธุรกิจยนตรกรรมจากค่ายญี่ปุ่น ที่เข้าไปตั้งฐานการผลิตในเมืองแห่งนี้ จนส่งผลให้อู่ฮั่นเป็นนคร ที่ไม่ผิดอะไรกับศูนย์กลางอุตสาหกรรมยานยนต์อีกแห่งหนึ่งของโลก นอกจากนี้ ก็ยังมีภาคธุรกิจคมนาคมขนส่ง ที่นครอู่ฮั่น เป็นหนึ่งในศูนย์กลางการดำเนินกิจกรรมดังกล่าว เพราะทั้งขนส่งทางราง และการบิน ก็อยู่ในนครแห่งนี้ที่เปรียบเสมือนเป็น “ฮับ” โดยในช่วงของการแพร่ระบาดของไวรัสอู่ฮั่นก็เสียหายรายได้ลดลงไปถึงร้อยละ 41 เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงปีก่อน ไม่เว้นแม้กระทั่งอุตสาหกรรมด้านการบันเทิงนันทนาการต่างๆ เช่นอุตสาหกรรมภาพยนตร์และการท่องเที่ยว ในจีนแผ่นดินใหญ่โดยส่วนรวมล้วนต่างได้รับความเดือดร้อนกันไปทั่วแดนมังกร ซึ่งบรรดานักวิเคราะห์แสดงทรรศนะว่า ก็จะส่งผลกระทบต่อสถานการณ์เศรษฐกิจโลกไปด้วย ที่ได้รับการประเมินว่า อาจไม่สามารถฟื้นตัวจากสงครามการค้าโลก ซึ่งเคยส่งผลเศรษฐกิจโลกต้องเปราะบางเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ได้ตามที่คาดหมายกันไว้