DPU X มธบ. จัดเสวนา China 5.0 ผ่า DNA จีน สู่มหาอำนาจอันดับ 2 ของโลก แนะเด็กไทยรีบปรับทักษะ รองรับอาชีพใหม่ในโลกดิจิทัล ดร.พณชิต กิตติปัญญางาม ผู้อำนวยการสถาบันเพื่อพัฒนาความเป็นผู้ประกอบการและบุคลากรแห่งอนาคต(DPU X) มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์(มธบ.) เปิดเผยว่า DPU X ร่วมกับคณะศิลปศาสตร์และวิทยาลัยนวัตกรรมด้านเทคโนโลยี&วิศวกรรมศาสตร์ (CITE) จัดกิจกรรม Playfessional ชอบทางไหนต้องไปให้สุด ภายใต้หัวข้อ “China 5.0 วัฒนธรรมจีนกับการพัฒนาเทคโนโลยี” โดยมี ดร.อาร์ม ตั้งนิรันดร ผู้เชี่ยวชาญด้านยุทธศาสตร์ไทย-จีน เป็นวิทยากร ทั้งนี้ เพื่อชี้ให้เห็นถึงแนวทางที่ทำให้ประเทศจีนพัฒนาอย่างก้าวกระโดดทางด้านเศรษฐกิจ การเมือง และเทคโนโลยี รวมถึงปัจจัยที่ส่งผลให้วัฒนธรรมจีนเอื้อต่อการพัฒนาเทคโนโลยี จนกลายเป็นประเทศมหาอำนาจอันดับที่ 2 ของโลก ซึ่งแนวคิดหลายอย่างจากแดนมังกรสามารถพิสูจน์ได้ว่า วิธีคิดหรือสูตรสำเร็จรูปจากประเทศตะวันตกไม่สามารถนำมาใช้ได้อีกต่อไป ดร.พณชิต กิตติปัญญางาม ดร.พณชิต กล่าวว่า ตัวอย่างความสำเร็จของจีน ทำให้คนไทยต้องหันกลับมาคิดใหม่ ทำใหม่ และหาจุดที่เหมาะสมกับตนเอง ซึ่งสมัยก่อนวิธีคิดของคนไทยจะศึกษาและนำต้นแบบสูตรสำเร็จรูปจากประเทศมหาอำนาจมาใช้โดยไม่ปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับบริบทของตนเอง จึงทำให้ไม่ประสบความสำเร็จมากนัก ดังนั้น อนาคตของเด็กไทยก็น่าเป็นห่วงเช่นเดียวกันเพราะส่วนใหญ่ยังขาดการพัฒนาอย่างจริงจังเรื่อง ความรู้ ความคิด ทักษะและจิตใจ ซึ่งหากไม่เรียนรู้ให้กว้างและลึก ไม่ปรับวิธีคิด ไม่พัฒนาทักษะ หรือไม่เปิดใจรับสิ่งใหม่ ประเทศก็จะไปไม่รอด ดังนั้น DPU X จึงอยากเป็นส่วนหนึ่งในการปลูกฝังให้เด็กคิดหาแนวทางเพื่อผ่านความยากลำบากตรงจุดนี้ไปให้ได้ ถ้าผ่านตรงนี้ได้ก็จะสามารถปรับตัวอยู่ในยุคของ AI (Artificial Intelligence) ได้ “การเชิญ ดร.อาร์ม มาเป็นวิทยากรในครั้งนี้ เพื่อต้องการให้เด็กเห็นตัวอย่างของคนที่ประสบความสำเร็จจากความชอบของตัวเอง วิทยากรเรียนจบนิติศาสตร์ แต่ชอบศึกษาเรื่องที่เกี่ยวกับประเทศจีน การศึกษาอย่างถ่องแท้ รู้ลึก รู้จริงนำไปสู่การสร้างคาแรคเตอร์ให้ตนเอง จนพัฒนากลายมาเป็นนักเขียนและวิทยากร สามารถเผยแพร่ความรู้ให้กับผู้อื่นได้ อย่างไรก็ตามการได้เรียนรู้วิธีคิดของคนที่ประสบความสำเร็จ ทำให้ได้รู้ว่าตนเองรู้จริงหรือรู้ลึกในสิ่งที่เราชอบหรือไม่ และสามารถนำความรู้นี้ไปต่อยอดทำอะไรได้บ้าง”ดร.พณชิต กล่าว ดร.อาร์ม ตั้งนิรันดร ด้านดร.อาร์ม ตั้งนิรันดร ผู้เชี่ยวชาญด้านยุทธศาสตร์ไทย-จีน และผู้เขียนหนังสือ ‘China 5.0 สีจิ้นผิง เศรษฐกิจยุคใหม่ และแผนการใหญ่ AI’ กล่าวว่า ในอนาคตผู้นำด้านเศรษฐกิจและเทคโนลียีอาจไม่ใช่เมืองตะวันตกอีกต่อไป เพราะขณะนี้เริ่มมีอิทธิพลจากประเทศจีนแทรกซึมเข้ามาเรื่อยๆ การเปลี่ยนแปลงในจีนเกิดขึ้นเร็ว ส่งผลให้การขับเคลื่อนเทคโนโลยีเร็วตามไปด้วย ก่อนนี้ทุกคนอาจอยู่ภายใต้แพลตฟอร์มตะวันตก อาทิ Facebook Twitter เป็นต้น แต่ตอนนี้มีแพลตฟอร์มจีนเข้ามาให้เห็นเป็นรูปธรรมมากขึ้น เช่น Alibaba Tencent Huawei ตลาดเทคโนโลยีจีนเริ่มรุกอย่างรวดเร็วจนเห็นภาพการแข่งขันกับสหรัฐอย่างชัดเจน แต่อย่างไรก็ตาม ภายใน 1 ปีก่อนการเลือกตั้งของสหรัฐ อาจยังไม่มีการยกระดับความรุนแรงของสงครามการค้า ระหว่าง 2 ประเทศมหาอำนาจ เพราะไม่ก่อให้เกิดผลดีต่อสหรัฐเลย แต่มีแนวโน้มในการเจรจาเฟส 2 ซึ่งเป็นเรื่องที่ตกลงกันยากขึ้น อาทิ การอุดหนุนรัฐวิสาหกิจจีน ภัยคุกคามไฟเบอร์จากจีน ซึ่งสงครามนี้อาจกินยาวหลายปี และอาจกล่าวได้ว่ายุคนี้เป็นจุดจบในการนำเดี่ยวของสหรัฐฯ เพราะในอนาคตข้างหน้าจีนอาจแซงหน้าด้านเทคโนโลยี ส่วนสาเหตุหลักที่จีนปรับตัวได้เร็ว เพราะมีวัฒนธรรมการปรับตัวและการอยู่รอดจากรุ่นสู่รุ่น ดร.อาร์ม กล่าวว่า จีนนอกจากมีการปรับตัวที่ดีแล้ว ยังนำวิธีคิดและวัฒนธรรมดั้งเดิมมาผลักดันให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจและเทคโนโลยี เมื่อถอดรหัสแนวคิดจะพบวัฒนธรรม 4 อย่างที่จีนนำมาใช้เพื่อพัฒนาประเทศ ได้แก่ 1.วัฒนธรรมความคิดแบบหยินหยาง คือ ในขาวมีดำ เช่น การใช้กลไกลตลาดควบคู่กลไกลรัฐ ขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจและระบบการปกครองภายใต้เอกลักษณ์จีน ทำให้มีการพัฒนาแบบก้าวกระโดด 2.วัฒนธรรมการพัฒนาและเรียนรู้อยู่เสมอ ยกตัวอย่าง Start Up ในจีน ส่วนใหญ่เริ่มจากการศึกษาต้นแบบ (จากสหรัฐฯ) เกิดการ Inspired สู่การ Innovate จนเกิดเป็นนวัตกรรมของตนเอง 3.วัฒนธรรมด้านการแข่งขัน มีการแข่งขันสูงทุกด้านทำให้เกิดการตื่นตัวอยู่เสมอ และ4.วัฒนธรรมด้านการทดลอง เช่น การทดลองเปิดเมืองเศรษฐกิจพิเศษ (เมืองเซินเจิ้น) จนประสบความสำเร็จ นอกจากนี้ยังมีการตั้งเป้ายุทธศาสตร์อุตสาหกรรม Made In China 2025 เพื่อยกระดับ 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย อาทิ รถยนต์พลังงานสะอาด และยังมีแผน AI 2030 เพื่อขึ้นสู่การเป็นผู้นำโลกด้าน AI “เป้าหมายใหญ่ของจีนทำให้ประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐเริ่มสั่นคลอน ลามไปสู่การขัดแย้งทางด้านเศรษฐกิจ การเกิดสงครามการค้าระหว่าง 2 ประเทศยักษ์ใหญ่ จะส่งผลให้ในอนาคตเกิดโลก 2 ใบ หรือโลกดิจิทัล 2 ซีก ทั้งนี้ในปี 2563 อาจต้องจับตาการประกาศใช้ “หยวนดิจิทัล” และเทคโนโลยี Social Credit Score ซึ่งคนในวงการ FinTech มองว่ามีความสำคัญมากต่อการเปลี่ยนแปลงภาคการเงินของโลก อย่างไรก็ตามเรื่องดังกล่าวเป็นสิ่งที่ต่างชาติสนใจและพูดกันในวงกว้าง และสำหรับคนไทยต้องหันมาตระหนักถึงความเปลี่ยนแปลงของโลก ในภาคเศรษฐกิจต้องแสวงหาความร่วมมือจากผู้ประกอบการจีน เพราะถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัย ที่ไทยสามารถนำสิ่งที่เรียนรู้มาปรับใช้ในเชิงธุรกิจได้ เนื่องจากประเทศดังกล่าวมีเทคโนโลยีหลายระดับ มิหนำซ้ำยังมีตัวอย่างความสำเร็จหลากหลายด้านให้เรียนรู้ด้วย”ดร.อาร์ม กล่าว ดร.อาร์ม กล่าวอีกว่า เด็กไทยไม่ต้องกลัวการถูกแย่งงานจาก AI เพราะมีผลการศึกษาว่า งานใดที่ AI มาแทนที่ มักมีงานใหม่เกิดขึ้นเสมอ เพราะฉะนั้นคนที่จะคว้าโอกาสในยุค 5.0 ต้องพัฒนาทักษะในการเรียนรู้ตลอดชีวิตและต้องเรียนรู้ตลอดเวลา เพื่อคว้าโอกาสใหม่ที่เกิดขึ้น อย่างเช่น การเรียนภาษาจีน ต้องรู้ลึกเรื่องวัฒนธรรม เรื่องเศรษฐกิจ และเรื่องอื่นๆ เพื่อเปิดโลกความคิดของเจ้าของภาษาด้วย