บลูสโคป ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เหล็กชั้นนำของไทยมากว่า 25 ปี ทุ่มงบลงทุนกว่า 4,000 ล้านบาท เปิดโรงงานแห่งที่ 3 เดินหน้าผลิตเหล็กเคลือบโลหะและเหล็กเคลือบสีด้วยกำลังการผลิต 160,000 ตันต่อปี เพื่อให้บริการลูกค้าและผู้บริโภคด้วยเทคโนโลยีการผลิตและเคลือบสีที่ทันสมัยที่สุดและผลิตได้รวดเร็วที่สุดในโลก พร้อมรองรับความต้องการของอุตสาหกรรมก่อสร้าง และที่พักอาศัยในประเทศไทยและอาเซียน นายชาลี อิไลแอส ประธานบริหาร (เอเชียและอเมริกาเหนือ) บริษัท เอ็นเอส บลูสโคป (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “โรงงานที่ 3 ของบลูสโคป ตั้งอยู่มาบตาพุด จังหวัดระยอง ซึ่งอยู่ในพื้นที่เดียวกันกับโรงงานที่ 1 และ 2 โดยก่อสร้างขึ้นจากการร่วมทุนของบริษัท เอ็นเอส บลูสโคป (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท นิปปอน สตีล คอร์ปอเรชั่น จำกัด และบมจ.ล็อกซ์เล่ย์ ด้วยงบลงทุนกว่า 4,000 ล้านบาท เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตเหล็กเคลือบโลหะและเหล็กเคลือบสี รองรับกับตลาดภายในประเทศที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และเป็นโอกาสในการผลิตเพื่อทดแทนการนำเข้า ทั้งนี้ในปี 2562 มียอดการนำเข้าเหล็กจากต่างประเทศโตขึ้น 3% หรือประมาณ 750,000 ตัน ดังนั้นโรงงานที่ 3 จึงเป็นการขยายกำลังการผลิตเหล็ก เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าทั้งในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียนที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมก่อสร้างขนาดเล็ก และที่พักอาศัย โดยโรงงานที่ 3 มีกำลังการผลิตกว่า 160,000 ตันต่อปี ซึ่งเมื่อรวมกับโรงงานแห่งที่ 1 และ 2 ทำให้บลูสโคปมีกำลังการผลิตรวมกว่า 580,000 ตันต่อปี นับเป็นผู้ผลิตเหล็กเคลือบโลหะและเหล็กเคลือบสีที่มีกำลังการผลิตสูงที่สุดในภูมิภาคอาเซียน “โรงงานแห่งที่ 3 ของบลูสโคป ใช้เทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัยที่สุด โดยเครื่องจักรในการผลิตเหล็กเคลือบโลหะสามารถผลิตได้รวดเร็วที่สุดเมื่อเทียบกับโรงงานในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน และยังเป็นเครื่องจักรที่มีเทคโนโลยีการเคลือบสีที่ดีที่สุดและเร็วที่สุดในโลก ทำให้คุณภาพสินค้าที่ได้จากสายการผลิตนี้มีคุณภาพสูง นอกจากนี้ โรงงานแห่งนี้ยังมีการบริหารจัดการโรงงานที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม รวมถึงช่วยกระตุ้นการจ้างงานเพื่อให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจ เป็นไปตามยุทธศาสตร์ของไทยแลนด์ 4.0” นายชาลี กล่าว นายชาลี กล่าวอีกว่าสำหรับผลประกอบการของบลูสโคปในปี 2562 ว่า บลูสโคปมียอดขายระหว่างเดือนกรกฎาคม 2561 ถึงเดือนมิถุนายน 2562 อยู่ที่ 372,000 ตัน ซึ่งจากการเปิดโรงงานแห่งที่ 3 อย่างเป็นทางการแล้ว คาดการณ์ว่าจะส่งผลให้มียอดขายเพิ่มขึ้นเป็น 400,000 ตันในอีก 3 ปีข้างหน้า โดยบริษัทฯ มีแผนที่จะขยายตลาดไปยังอีกหลายประเภทธุรกิจ รวมถึงการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ เพื่อรองรับกับความต้องการของลูกค้าในแต่ละกลุ่มเพิ่มขึ้น