LPN โชว์แผนปี63บุกตลาดอสังหาฯ ลุยเพิ่มประสิทธิภาพการกำไร, ขยายฐานรายได้ประจำ, บริหารสภาพคล่องทางการเงิน พร้อมเปิด 10 โครงการใหม่ หวังดันยอดขายสิ้นปีโต 30% หรือ 10,000 ล้านบาท
นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บมจ.แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ (LPN) เปิดเผยว่า แผนการดำเนินธุรกิจในปี2563 ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นอีกปีที่มีท้าทาย เนื่องจากสถานการณ์ที่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ยังเผชิญกับภาวะชะลอตัวหรือคาดว่าจะติดลบประมาณ 3% ตามทิศทางของเศรษฐกิจปีนี้ที่คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตที่ 2.5 – 3.0 % รวมถึงมาตรการกำกับดูแลของ ธปท.ที่ส่งผลให้กำลังซื้อลดลง ดังนั้นการผลักดันธุรกิจเติบโตอย่างต่อเนื่อง บริษัทจึงมุ่งเน้นไปที่การเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน โดยให้ความสำคัญกับ 3 ประเด็นหลัก คือ การเพิ่มประสิทธิภาพในการทำกำไรจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์, การขยายฐานรายได้ประจำ (Recurring Income) จากธุรกิจบริการ ทั้งการบริหารจัดการอาคาร การก่อสร้าง งานที่ปรึกษา วิจัยและพัฒนา และเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหาสภาพคล่องทางการเงินของบริษัทให้ดีขึ้น
ทั้งนี้ในส่วนของการบริหารประสิทธิภาพการทำกำไร บริษัทจะให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการสินทรัพย์ที่มีอยู่ให้สามารถสร้างรายได้เพิ่มขึ้น เช่า การนำคอนโดมิเนียมที่สร้างเสร็จมาปล่อยเช่า เพื่อสร้างรายได้ประจำจากสินทรัพย์ที่มีอยู่ รวมทั้งการเร่งขายและโอนโครงกาบที่สร้างเสร็จมูลค่ารวมราว 10,000 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคอนโดมิเนียมระดับราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ซึ่งคาดหวัดจะระบายออกไปได้ไม่ต่ำกว่า 50% ของมูลค่าที่มีอยู่
ขณะที่การขยายฐานรายได้ประจำ (Recurring Income) จากธุรกิจบริการ ทั้งการบริหารจัดการอาคาร การก่อสร้าง งานที่ปรึกษา วิจัยและพัฒนา ผ่านบริษัทในเครืออย่างบริษัท ลุมพ์นี พรอพเพอร์ตี้ มาเนจเมนท์ จำกัด, บริษัท ลุมพินี โปรเจค มาเนจเมนท์ เซอร์วิส จำกัด และบริษัท ลุมพินี วิสดอม แอนด์ โซลูชั่น จำกัด ซึ่งได้ขยายฐานลูกค้าจากธุรกิจบริการทั้งในส่วนของการบริหารอาคารโครงการและงานบริการด้านวิศวกรรมจากที่ให้บริการเฉพาะในส่วนของ LPN ไปสู่ตลาดภายนอก เพื่อขยายฐานรายได้ของธุรกิจในกลุ่มนี้ โดยปีนี้ตั้งเป้ารายได้ในส่วนนี้เติบโตไม่น้อยกว่า 20%
ปัจจุบันตลาดบริหารจัดการอาคารทั้งคอนโดมิเนียมและสำนักงานยังมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีมูลค่าตลาดไม่น้อยกว่า 4.4 หมื่นล้านบาท ในปี 62 และมีอัตราการเติบโตไม่น้อยกว่า 10% ต่อปี ซึ่งเป็นโอกาสในการเติบโตของธุรกิจดังกล่าวที่จะมีสัดส่วนรายได้เติบโตขึ้นเป็น 10% ในปี 63
ด้านการบริหารสภาพคล่องทางการเงิน บริษัทมีนโยบายในการบริหารสัดส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Debt to Equity Ratio) ในสัดส่วนไม่เกิน 1:1 เพื่อสร้างความมั่นคงทางการเงินให้กับบริษัท ในขณะเดียวกันบริษัทมีการบริหารจัดการต้นทุนทางการเงินที่มีประสิทธิภาพโดยมีต้นทุนดอกเบี้ยอยู่ในสัดส่วนที่ต่ำกว่าร้อยละ 3 ลดลงจากร้อยละ 4 เป็นผลมาจากการจัดเครดิตเรทติ้งของบริษัทที่อยู่ที่ A- โดยทริส เรสติ้ง ซึ่งสะท้อนถึงฐานะทางการเงินที่มีความมั่นคง
นายโอภาส กล่าวอีกว่า สำหรับแผนการเปิดตัวโครงการใหม่ปีนี้ บริษัทคาดจะเปิดทั้งหมดประมาณ 10 โครงการมูลค่าโครงการรวม 12,000-13,000 ล้านบาท แบ่งเป็น แนวราบ 4 โครงการ มูลค่า 5,000 ล้านบาท เน้นบ้านแฝดระดับราคาเริ่มต้น 5 ล้านบาท โดยในครึ่งปีแรกจะเปิดตัวโครงการแนวราบทั้งหมดในทำเลเมืองทองธานี, สุขุมวิท 113, ลาดกระบัง และพหลโยธิน 4/1
ส่วนโครงการคอนโดมิเนียมที่จะเปิด 6 โครงการใหม่ จะมีมูลค่ารวม 7,000-8,000 ล้านบาท เน้นออกแบบให้มีฟังก์ชั่นการใช้งานที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในระดับราคา 1-3 ล้านบาท ซึ่งยังมีกำลังซื้ออยู่ในตลาด และเป็นกลุ่มที่ยังมีความสามารถในการซื้อคอนโดมิเนียม โดยคอนโดมิเนียมที่จะเปิดตัวในปีนี้ 6 โครงการ ได้แก่ เตาปูน ราคาขายเฉลี่ย 50,000 บาท/ตร,ม., จรัญสนิทวงศ์ 65 ราคาขายเฉลี่ย 70,000 บาท/ตร.ม., ถนนนราธิวาส-รัชดา ราคาขายเฉลี่ย 130,000 บาท/ตร.ม. ซึ่งเป็นโครงการมิกซยูส คอนโดมิเนียมกับออฟฟิศ, แจ้งวัฒนะ 17 ราคาขายเฉลี่ย 70,000 บาท/ตร.ม. และโครงการคอนโดมิเนียม Lowrise ย่านเอกชัย 2 เฟส รวม 2,000 ยูนิต เฟสแรกราคาต่ำกว่ายูนิตละ 1 ล้านบาท และเฟส 2 ราคายูนิตละ 1 ล้านต้น
ด้านเป้าหมายยอดขายบริษัทในปีนี้คาดว่าจะเติบโต 30% หรือประมาณ 10,000 ล้านบาท ขณะที่รายได้คาดว่าจะใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมาโดยจะรับรู้รายได้จากมูลค่ายอดขายรอโอนที่มีอยู่กว่า 7,000 ล้านบาทเข้ามาเกือบทั้งหมด อีกทั้งบริษัทยังตั้งเป้ารายได้จากค่าเช่าในปีนี้ไว้ที่ 200-300 ล้านบาท และรายได้จากธุรกิจบริหารจัดการคอนโดมิเนียม 700 ล้านบาท โดยงบซื้อที่ดินในปีนี 4,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ในส่วนของการบริหารประสิทธิภาพการทำกำไร บริษัทจะให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการสินทรัพย์ที่มีอยู่ให้สามารถสร้างรายได้เพิ่มขึ้น เช่า การนำคอนโดมิเนียมที่สร้างเสร็จมาปล่อยเช่า เพื่อสร้างรายได้ประจำจากสินทรัพย์ที่มีอยู่ รวมทั้งการเร่งขายและโอนโครงกาบที่สร้างเสร็จมูลค่ารวมราว 10,000 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคอนโดมิเนียมระดับราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ซึ่งคาดหวัดจะระบายออกไปได้ไม่ต่ำกว่า 50% ของมูลค่าที่มีอยู่
ขณะที่การขยายฐานรายได้ประจำ (Recurring Income) จากธุรกิจบริการ ทั้งการบริหารจัดการอาคาร การก่อสร้าง งานที่ปรึกษา วิจัยและพัฒนา ผ่านบริษัทในเครืออย่างบริษัท ลุมพ์นี พรอพเพอร์ตี้ มาเนจเมนท์ จำกัด, บริษัท ลุมพินี โปรเจค มาเนจเมนท์ เซอร์วิส จำกัด และบริษัท ลุมพินี วิสดอม แอนด์ โซลูชั่น จำกัด ซึ่งได้ขยายฐานลูกค้าจากธุรกิจบริการทั้งในส่วนของการบริหารอาคารโครงการและงานบริการด้านวิศวกรรมจากที่ให้บริการเฉพาะในส่วนของ LPN ไปสู่ตลาดภายนอก เพื่อขยายฐานรายได้ของธุรกิจในกลุ่มนี้ โดยปีนี้ตั้งเป้ารายได้ในส่วนนี้เติบโตไม่น้อยกว่า 20%
ปัจจุบันตลาดบริหารจัดการอาคารทั้งคอนโดมิเนียมและสำนักงานยังมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีมูลค่าตลาดไม่น้อยกว่า 4.4 หมื่นล้านบาท ในปี 62 และมีอัตราการเติบโตไม่น้อยกว่า 10% ต่อปี ซึ่งเป็นโอกาสในการเติบโตของธุรกิจดังกล่าวที่จะมีสัดส่วนรายได้เติบโตขึ้นเป็น 10% ในปี 63
ด้านการบริหารสภาพคล่องทางการเงิน บริษัทมีนโยบายในการบริหารสัดส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Debt to Equity Ratio) ในสัดส่วนไม่เกิน 1:1 เพื่อสร้างความมั่นคงทางการเงินให้กับบริษัท ในขณะเดียวกันบริษัทมีการบริหารจัดการต้นทุนทางการเงินที่มีประสิทธิภาพโดยมีต้นทุนดอกเบี้ยอยู่ในสัดส่วนที่ต่ำกว่าร้อยละ 3 ลดลงจากร้อยละ 4 เป็นผลมาจากการจัดเครดิตเรทติ้งของบริษัทที่อยู่ที่ A- โดยทริส เรสติ้ง ซึ่งสะท้อนถึงฐานะทางการเงินที่มีความมั่นคง
นายโอภาส กล่าวอีกว่า สำหรับแผนการเปิดตัวโครงการใหม่ปีนี้ บริษัทคาดจะเปิดทั้งหมดประมาณ 10 โครงการมูลค่าโครงการรวม 12,000-13,000 ล้านบาท แบ่งเป็น แนวราบ 4 โครงการ มูลค่า 5,000 ล้านบาท เน้นบ้านแฝดระดับราคาเริ่มต้น 5 ล้านบาท โดยในครึ่งปีแรกจะเปิดตัวโครงการแนวราบทั้งหมดในทำเลเมืองทองธานี, สุขุมวิท 113, ลาดกระบัง และพหลโยธิน 4/1
ส่วนโครงการคอนโดมิเนียมที่จะเปิด 6 โครงการใหม่ จะมีมูลค่ารวม 7,000-8,000 ล้านบาท เน้นออกแบบให้มีฟังก์ชั่นการใช้งานที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในระดับราคา 1-3 ล้านบาท ซึ่งยังมีกำลังซื้ออยู่ในตลาด และเป็นกลุ่มที่ยังมีความสามารถในการซื้อคอนโดมิเนียม โดยคอนโดมิเนียมที่จะเปิดตัวในปีนี้ 6 โครงการ ได้แก่ เตาปูน ราคาขายเฉลี่ย 50,000 บาท/ตร,ม., จรัญสนิทวงศ์ 65 ราคาขายเฉลี่ย 70,000 บาท/ตร.ม., ถนนนราธิวาส-รัชดา ราคาขายเฉลี่ย 130,000 บาท/ตร.ม. ซึ่งเป็นโครงการมิกซยูส คอนโดมิเนียมกับออฟฟิศ, แจ้งวัฒนะ 17 ราคาขายเฉลี่ย 70,000 บาท/ตร.ม. และโครงการคอนโดมิเนียม Lowrise ย่านเอกชัย 2 เฟส รวม 2,000 ยูนิต เฟสแรกราคาต่ำกว่ายูนิตละ 1 ล้านบาท และเฟส 2 ราคายูนิตละ 1 ล้านต้น
ด้านเป้าหมายยอดขายบริษัทในปีนี้คาดว่าจะเติบโต 30% หรือประมาณ 10,000 ล้านบาท ขณะที่รายได้คาดว่าจะใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมาโดยจะรับรู้รายได้จากมูลค่ายอดขายรอโอนที่มีอยู่กว่า 7,000 ล้านบาทเข้ามาเกือบทั้งหมด อีกทั้งบริษัทยังตั้งเป้ารายได้จากค่าเช่าในปีนี้ไว้ที่ 200-300 ล้านบาท และรายได้จากธุรกิจบริหารจัดการคอนโดมิเนียม 700 ล้านบาท โดยงบซื้อที่ดินในปีนี 4,000 ล้านบาท