กรุงเทพฯ 22 มกราคม 2563 – ทีเอ็มบี เผยเปิดขายกองทุนเปิดทีเอ็มบี อีสท์สปริง Global Smart Bond (TMB-ES-GSBOND) นักลงทุนตอบรับท่วมท้น ทุบสถิติสูงเป็นประวัติการณ์ยอดทะลุ 4,200 ล้านบาท เหตุตอบโจทย์ในการสร้างผลตอบแทนท่ามกลางภาวะดอกเบี้ยต่ำและตลาดมีความผันผวน ด้วยจุดเด่นกลยุทธ์ ACE คือผลตอบแทนสูง มีความผันผวนต่ำ และควบคุมความเสี่ยงได้ดี เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนที่ดีกว่าดอกเบี้ยแต่ความเสี่ยงไม่สูงมากนัก นางกิดาการ ชัฏสุวรรณ หัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารผลิตภัณฑ์กองทุนรวม ทีเอ็มบี หรือธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในปัจจุบันภาพรวมตลาดการลงทุนมีทิศทางที่ดีขึ้นจากปัจจัยบวก คือการลงนามข้อตกลงทางการค้าระหว่างสหรัฐอเมริการและจีนในเฟสแรกและข้อตกลง Brexit ที่มีแนวโน้มดีขึ้น แต่ทั้งนี้ ภาวะการลงทุนในปี 2563 ยังคงมีความท้าทายจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็น การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก สงครามการค้า และภาวะความตึงเครียดทางการเมืองในหลายประเทศ ที่จะทำให้ตลาดมีความผันผวน รวมทั้งอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำต่อเนื่อง ดังนั้น การสร้างโอกาสเพิ่มผลตอบแทนให้กับพอร์ตการลงทุนจึงควรมีการกระจายการลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์ เนื่องจากช่วยลดความผันผวนของพอร์ตได้ ซึ่งทีเอ็มบี ร่วมกับ บลจ.ทีเอ็มบี อีสท์สปริง ได้พัฒนาผลิตภัณฑ์การลงทุนภายใต้ชื่อ กองทุนเปิดทีเอ็มบี อีสท์สปริง Global Smart Bond (TMB-ES-GSBOND) ขึ้นมาตอบโจทย์ และได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยมจากผู้ลงทุน โดยหลังจากเปิดขายครั้งแรกระหว่างวันที่ 13-21 มกราคม ที่ผ่านมา มูลค่ารวม 6,000 พันล้านบาท ปรากฎว่าทีเอ็มบีซึ่งเป็นแกนหลักสามารถทำยอดขายได้ถึง 4,200 ล้านบาท นับเป็นสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ของทีเอ็มบีและบลจ.ทีเอ็มบี อีสท์สปริง กองทุนเปิดทีเอ็มบี อีสท์สปริง Global Smart Bond เป็นกองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศ โดยลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศเพียงกองเดียวคือ JPMorgan Funds-Income Fund (กองทุนหลัก) ในหน่วยลงทุนชนิด Class C ซึ่งเป็น Class ที่เสนอขายผู้ลงทุนสถาบัน ไม่มีนโยบายจ่ายเงินปันผล ซึ่งกองทุนหลักมีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้ประเภทต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนทั่วโลก จดทะเบียนในประเทศลักเซมเบิร์ก บริหารจัดการโดย JP Morgan Asset Management (Europe) S.a.r.l และลงทุนในรูปสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ “ปัจจัยที่ทำให้กองทุนนี้ประสบความสำเร็จอย่างมากในการเสนอขายครั้งแรกคือ สภาวะที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำ ทำให้ลูกค้ามองหาการลงทุนที่สามารถให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าเงินฝากแต่ต้องไม่เสี่ยงมาก โดยตอบโจทย์ด้วยหลักการ 3 ข้อ ที่เรียกว่า ACE มาจาก A หรือ ATTRACTIVE INCOME OPPORTUNITIES นั่นคือ โอกาสสร้างรายได้น่าดึงดูดใจ ปัจจุบันกองทุนมีค่าเฉลี่ยผลตอบแทน (Yield to maturity) อยู่ที่ 5% ส่วน C มาจาก CONTROLLED RISK เป็นการควบคุมผันผวนไม่ให้สูง เพราะกองทุนมีการกระจายความเสี่ยงในตราสารหนี้ที่หลากหลาย ทำให้ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา กองทุนมีค่าความผันผวนต่ำเพียง 2.2% และสุดท้าย E หรือ Effective Downside Protection คือมีผลขาดทุนอยู่ในระดับต่ำ โดยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา กองทุนเคยมีผลตอบแทนที่ต่ำสุดอยู่ที่ -1.0% เท่านั้น” นางกิดาการ กล่าว นางกิดาการ กล่าวเพิ่มเติมว่า “สินทรัพย์ที่เป็นตราสารหนี้ถูกมองว่ายังมีโอกาสในการสร้างผลตอบแทนได้ในปีนี้ แม้จะไม่มากเท่าในปีที่ผ่านมา แต่ท่ามกลางภาวะที่ดอกเบี้ยยังคงอยู่ในระดับต่อเนื่อง ตราสารหนี้ก็ยังมีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่ดีกว่า และยังช่วยลดความผันผวนให้กับพอร์ตการลงทุนได้ ซึ่งกองทุนนี้มีผลการดำเนินงานที่ดีมาก ตั้งแต่จัดตั้งกองทุนเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2015 กองทุนให้ผลตอบแทน 6.6% ต่อปี และใน 1 ปีที่ผ่านมา กองทุนให้ผลตอบแทนสูงถึง 11.77% ด้วยนโยบายการบริหารแบบเชิงรุก มีความยืดหยุ่นในการปรับเปลี่ยนการลงทุนให้เหมาะสมได้ทุกสภาพตลาด และยังได้รับ Morningstar 5 ดาว” กองทุนนี้เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการกระจายความเสี่ยงในการลงทุนไปยังต่างประเทศ โดยสามารถลงทุนระยะยาวและยอมรับความเสี่ยงของการลงทุนในตราสารหนี้ทั่วโลก ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนและความผันผวนของการเปลี่ยนแปลงของมูลค่าหน่วยลงทุนของต่างประเทศ (กองทุนหลัก) ได้ แต่ไม่เหมาะกับนักลงทุนที่มีความจำเป็นต้องใช้เงินลงทุนในระยะอันใกล้ และนักลงทุนที่ไม่สามารถรับความผันผวนของเงินลงทุนและผลตอบแทนทั้งในระยะสั้นและระยะยาว #เพราะคุณต้องได้มากกว่า #GetMOREwithTMB facebook.com/tmb