ซาบีน่าเผยแผน 5 ปี ระหว่าง 2563-2567 วางเป้าหมายรายได้แตะระดับ 5,000 ล้านบาท คิดเป็นการเติบโตเฉลี่ยปีละ 7-10% เผยกลยุทธ์บุกช่องทางออนไลน์ ใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยทดแทนการขายในรูปแบบเดิมๆ เน้นการนำสินค้าเจาะเข้าถึงกลุ่มที่มีกำลังซื้อเป้าหมายโดยตรง ย้ำช่วยลดต้นทุนขาย ดันมาร์จินเพิ่ม รุกพัฒนาคุณภาพสินค้าให้ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค เน้นนวัตกรรมใหม่ๆ พร้อมวางเป้าหมายการขยายฐานลูกค้าส่งออกภายใต้แบรนด์“ซาบีน่า”เพิ่ม หลังตลาดเวียดนามได้รับการตอบรับคึกคักเกินคาด นายบุญชัย ปัณฑุรอัมพร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทซาบีน่า จำกัด (มหาชน)หรือ SABINA ผู้ผลิตและจำหน่ายชุดชั้นในแบรนด์ “ซาบีน่า” เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้กำหนดแผนการดำเนินธุรกิจ 5 ปีระหว่างปี 2563-2567 (2020-2024) โดยวางเป้าหมายรายได้แตะในระดับ 5,000 ล้านบาทในปี 2567 แบ่งเป็นเป้าหมายรายได้การขายจากช่องทางรีเทล(Retail)ผ่านเคาน์เตอร์ในห้างสรรพสินค้าและซาบีน่า ช้อป 3,000 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 60% ของรายได้จากการขายรวม ขณะที่รายได้จากช่องทางออนไลน์หรือ Non Store Retailing (NSR) 1,300 ล้านบาท คิดเป็น 26% รายได้จากการส่งออก(Export) ภายใต้แบรนด์ “ซาบีน่า” ไปยังกลุ่มประเทศ CLMV อยู่ที่ 400 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 8% และรายได้จากการรับผลิต (OEM) ให้กับลูกค้าในสหราชอาณาจักร,ยุโรปและเอเชียจะอยู่ที่ 300 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 6% ของรายได้ยอดขาย ทั้งนี้หากพิจารณาจากแผน 5 ปี จะพบว่า สัดส่วนของรายได้ใน 4 ช่องทางหลักของซาบีน่า จะเปลี่ยนแปลงไป โดยยอดขายผ่านช่องทางรีเทล จะมีสัดส่วนลดลงจากงวด 9 เดือนแรกของปี 2562 ซึ่งมีสัดส่วนรายได้ 78% ของรายได้ยอดขายรวม จะลดลงเหลือ 60% ขณะที่ช่องทางที่เติบโตขึ้น ได้แก่ ช่องทางออนไลน์ ที่เพิ่มสัดส่วนในโครงสร้างรายได้จาก 11% เป็น 26% เช่นเดียวกับช่องทางส่งออกที่เติบโตจาก 3% เป็น 8% ส่วนสัดส่วนรายได้จาก OEM จะลดลงจาก 8% เหลือ 6% หมายความว่า การเติบโตของรายได้จากการขายของซาบีน่าในช่วง 5 ปีนับจากนี้ จะถูกขับเคลื่อนด้วยช่องทางออนไลน์ และการส่งออกไปในกลุ่มประเทศ CLMV โดยเฉพาะประเทศเวียดนามที่พบว่า สินค้าซาบีน่าได้รับการตอบรับอย่างดีเกินกว่าคาดไว้ “จากเป้าหมายรายได้ที่ 5 พันล้านบาทในปี 2567 เป็นความท้าทายของเราที่จะต้องผลักดันให้การเติบโตเฉลี่ยในแต่ละปีจะต้องอยู่ที่ 7-10% โดยเฉพาะช่องทางออนไลน์ที่ภายใน 5 ปีต้องเติบโตให้ได้ 305% หรือเฉลี่ยปีละ 25-30% และช่องทางส่งออก ที่ต้องเติบโต 410% ภายใน 5 ปี เฉลี่ยปีละ 30-35% ขณะที่ช่องทางรีเทลและช่องทาง OEM แม้ว่าสัดส่วนรายได้ในโครงสร้างหลักจะลดลง แต่ต้องทำให้รายได้ใน 5 ปีนี้เติบโต 55% และ 3% ตามลำดับ ซึ่งต้องยอมรับว่า ไม่ใช่โจทย์ที่ง่ายในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้” อย่างไรก็ตามบริษัทมีความมั่นใจว่า เป้าหมายดังกล่าวจะเป็นไปได้ตามแผนที่วางไว้ โดยปัจจัยสนับสนุนสำคัญ นอกจากจะมาจากการที่บริษัทมุ่งเน้นการผลิตสินค้าชุดชั้นในคุณภาพ โดยใช้นวัตกรรมในการผลิตเข้ามาตอบสนองความต้องการของลูกค้าและมีการนำเสนอชุดชั้นในคอลเลคชั่นใหม่อย่างต่อเนื่อง ครอบคลุมลูกค้าทุกกลุ่มเป้าหมายแล้ว ขณะเดียวกันบริษัทยังเน้นการพัฒนาช่องทางขาย โดยได้ลงทุนพัฒนาเทคโนโลยีที่ทันสมัยส่งเสริมการตลาดและการขายทดแทนระบบเก่า ทำให้การขายมีประสิทธิภาพมากขึ้นและสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่มีกำลังซื้อได้ตรงจุด นอกจากนี้ การนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ขยายตลาดในช่องทางออนไลน์ยังทำให้บริษัทฯ บริหารจัดการต้นทุนได้ดีขึ้น โดยต้นทุนต่ำลง ค่าใช้จ่ายลดลง และทำให้อัตรากำไรขั้นต้นหรือ Gross Profit Margin(GPM)ของบริษัทขยับสูงขึ้น ทั้งนี้ในส่วนของการผลิต บริษัทยังไม่มีแผนลงทุนเพิ่มเติม โดยโครงสร้างผลิตในปี 2562 เป็นการผลิตเองจากโรงงานของซาบีน่า 70% และเป็นการจ้างผลิตจากโรงงานในต่างประเทศ 30% ขณะที่แผนระยะสั้นในปี 2563 จะลดการผลิตเองลงเหลือ 65% และเพิ่มสัดส่วนจ้างผลิตเป็น 35% ซึ่งในภาวะที่ค่าเงินบาทยังคงมีแนวโน้มแข็งค่าจะทำให้ในปีนี้ บริษัทยังคงมีความได้เปรียบทั้งทางด้านต้นทุนการผลิตและการนำเข้าสินค้า