นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ปีนี้นักลงทุนต้องติดตามความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนทั้งจากในประเทศ และต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเจรจาการค้า ความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างประเทศ การดำเนินนโยบายทางการเงินประเทศต่างๆ ที่จะกระทบตลาดหุ้น ซึ่งนักลงทุนต้องปิดความเสี่ยงด้วยการกระจายการลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลายเพื่อรับการชดเชย ต้องตั้งวัตถุประสงค์ในการลงทุนทั้งระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว ใช้กลยุทธ์ที่แตกต่างกันไป โดยขอให้ปรึกษากับนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ ที่ปรึกษาการลงทุน ในการวิเคราะห์ข้อมูลผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับอุตสาหกรรม และ บริษัทจดทะเบียนต่าง ๆ ที่จะแตกต่างกัน มีทั้งเชิงบวกและเชิงลบ ซึ่ง ตลท.ตั้งเป้าหมายสร้างการเติบโตของผู้ลงทุนในประเทศ ที่ปัจจุบันมีแนวโน้มลดลง โดยมีสัดส่วนอยู่ประมาณ 30-35% หลังจากที่โปรแกรมซื้อขายอัจฉริยะ (AI) เข้ามารมีบทบาทมากขึ้น ซึ่งทาง ตลท.พยายามรักษาสัดส่วนของผู้ลงทุนทุกกลุ่มให้มีความสมดุลมากที่สุด นายภากร กล่าวว่า ทั้งนี้ไม่ได้กังวลเรื่องการเพิ่มขึ้นของมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เก็ตแคป ) แม้ว่ามาร์เก็ตแคปในปี 2566 อาจจะไม่ถึงเป้า 150% ของผลิตภัณฑ์มลรวมในประเทศ (จีดีพี) เพราะการเติบโตของมาร์เก็ตแคปต้องขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกด้วย ซึ่งปี 2562ที่ผ่านไป เศรษฐกิจไทยเติบโตต่ำเพียง 2.8 - 3% จากเดิมคาดว่าโต 4 % แต่ก็เชื่อมั่นในศักยภาพความแข็งแกร่งตลาดทุนไทย โดยในช่วงปลายปีที่ผ่านมีบริษัทขนาดใหญ่เข้ามาระดมทุน เช่น บมจ.แอสเสท เวิรด์ คอร์ป (AWC) ที่มีมูลค่าระดมทุนใหญ่ที่สุดเป็นประวัติการณ์ สะท้อนว่าตลาดหุ้นไทยยังเป็นแหล่งระดมทุนที่มีศักยภาพหากเทียบกับหลายประเทศในแถบอาเซียน นายแมนพงศ์ เสนาณรงค์ รองผู้จัดการหัวหน้าสายงานผู้ออกหลักทรัพย์ ตลท. กล่าวว่า คาดว่าปี2563 ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะมีมูลค่ามาร์เก็ตแคปเพิ่มขึ้น 550,000 ล้านบาท แบ่งเป็นมาร์เก็ตแคปบริษัทเสนอขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไป (IPO) จำนวน 250,000 ล้านบาท และอีก 250,000 ล้านบาท จาก บจ.เดิมที่มีการระดมทุนเพิ่ม จากปี2562 ที่มีมาร์เก็ตแคปเพิ่มขึ้น780,000 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นIPO 380,000 ล้านบาท และบจ.เดิมเพิ่มทุนอีก 400,000ล้านบาท ทั้งนี้ตามแผนล่าสุดมีจำนวนไม่ต่ำกว่า 10 บริษัทที่มีมูลค่ามาร์เก็ตแคปเกิน 10,000 ล้านบาทที่อยู่ระหว่างเตรียมความพร้อมเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ SET