จากกรณีนายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ยื่นคำร้องต่อ กกต.ให้ยุบพรรคพลังประชารัฐ หรือ พปชร.กรณีเชิญให้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ซึ่งยังไม่มีสถานะเป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐตามกฎหมาย ให้ไปเปิดการสัมมนาในพื้นที่อำเภอวังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา วันนี้(16 ม.ค.63) นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ร้องทุกข์พรรคพลังประชารัฐ เปิดเผยว่า นายศรีสุวรรณ กล่าวหา พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ว่าเข้าข่ายชี้นำ และครอบงำ หลังจาก พล.อ.ประวิทย์ กล่าวเปิดใจกลางวงสัมมนา ว่า “เราเป็นครอบครัวเดียวกัน วันนี้มาในฐานะผู้สนับสนุน แต่หลังจากแถลงนโยบายแล้ว จะพิจารณาเรื่องการสมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรค ขอให้ทุกคนสามัคคีกลมเกลียวกันอย่าได้แตกเป็นกลุ่ม เป็นก๊วนอีก” กระผมขออธิบายในฐานะสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ และผู้เข้าร่วมการสัมมนาดังกล่าวว่า นายศรีสุวรรณไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรค ไม่มีข้อมูล จึงละเมอคิดไปเองว่า พล.อ.ประวิตร ชี้นำสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ ทั้งที่ข้อเท็จจริงแล้ว พล.อ.ประวิตร เองเป็นสมาชิกพรรค และยังดำรงตำแหน่งประธานยุทธศาสตร์พรรค ทั้งนี้ยังเปรียบเสมือนผู้ใหญ่ในพรรคที่สมาชิกของพรรคทุกคนให้ความเคารพนับถือมาโดยตลอด ไม่เหมือนกับพรรคอื่นๆที่มีหลายนาย บางพรรคถูกครอบงำจากต่างประเทศ หรือบางพรรคถูกครอบงำจากนอกสภา แต่ที่พลังประชารัฐเราเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน โดยมี พล.อ.ประวิตร เป็นแกนกลาง “การที่นายศรีสุวรรณ มายื่นคำร้องยุบพรรคพลังประชารัฐ เป็นการชี้นำให้สังคมเข้าใจผิด ถ้าในหลักพระพุทธศาสนาเค้าให้ความหมายของบาปการพูด 4 ประเภทด้วยกัน แต่ผมขอยกมา 2 ข้อ ซึ่งได้แก่การพูดเท็จ คือ เอาเรื่องไม่จริงมาพูด และ การพูดเพ้อเจ้อ คือ การกล่าวว่าจาไม่มีหลักฐาน ดังนั้นสิ่งที่ นายศรีสุวรรณ กำลังทำคือ พูดเท็จ และ เพ้อเจ้อ ซึ่งไม่ใช่ครั้งแรกที่ออกมาเช่นนี้ จึงอยากเตือนสตินายศรีสุวรรณ หากจะเรียกร้องหรือพูดอะไรออกมา ควรหาข้อมูลให้ครบถ้วนมากกว่านี้ เพราะด้วยความเคารพและผมได้ติดตามผลงานมาโดยตลอด การกระทำเช่นนี้ถือว่านายศรีสุวรรณกำลังหลงทิศหลงทาง จึงอยากให้ปรับปรุงตัว เพราะคุณศรีสุวรรณอาจมีความตั้งใจดี”นายสามารถ กล่าว ส่วนการที่นายศรีสุวรรณ เรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หลังจากสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ออกมาเปิดเผยข้อมูลจีดีพี ประจำปี 2561 ของประเทศเวียดนาม ว่าจีดีพีโตขึ้น 7.08% ตนขอชี้แจงว่าเป็นเรื่องการพูดเพ้อเจ้อ จีดีพีของเวียดนามโตขึ้น 7.08% จริง แต่มีรายได้รวมเพียง 241 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งน้อยกว่าของไทยซึ่งมีรายได้รวมกว่า 504 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ตนจึงไม่เข้าใจว่า การที่นายศรีสุรรณเรียกร้องนั้น มีความต้องการ หรือมีนัยยะอะไรแอบแฝงอยู่ ตัวเลขการท่องเที่ยวของประเทศไทยนักท่องเที่ยวเวียดนามก็มาเที่ยวเมืองไทยมากกว่าไปเที่ยวเวียดนาม ในปี พ.ศ.2561 เราได้เปรียบกว่า 678,120 คน รายได้ต่อหัวของคนไทยสูงกว่าเวียดนาม 4,709.8 ดอลลาร์สหรัฐ นายสามารถ กล่าวต่อว่า คณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต.เป็นหน่วยงานอิสระที่มีความเป็นกลาง การที่ไม่ดำเนินคดีกับ พล.อ.ประวิตร และ พรรคพลังประชารัฐ แสดงว่า พล.อ.ประวิตร และ พรรคพลังประชารัฐ ไม่ได้กระทำความผิด ดังนั้นจึงควรหยุดใส่ร้ายป้ายสี และทำให้ประชาชนสับสน สังคมจะเดินไปข้างหน้าได้ ทุกวันนี้ต้องอยู่กับข้อมูลจริง อย่าเอาข้อมูลเท็จ หรือ fake news มาโจมตีกัน สุดท้ายนี้ผมขอยืนยันว่า พล.อ.ประวิตร เป็นคนดี ที่ตั้งใจทำเพื่อชาติ เพื่อแผ่นดิน ไม่ได้กระทำความผิดใด และทั้งนี้ท่านยังเป็นคนที่พรรคพลังประชารัฐให้การเคารพนับถือ ผมขอหยิบยกประเด็น สส ของพรรค พปชร เอง ทาง กกต ก็ได้ให้ใบเหลือง ดังนั้น กกต เองทำงานด้วยความเป็นกลาง ถ้ามี สส คนใด หรือ พรรคการเมืองใดทำผิดกฎหมาย ถ้าอยู่ภายใต้อำนาจที่กกต ดำเนินการได้ กกต ก็ดำเนินการอย่างเท่าเทียม ดังนั้นจึงอยากชี้แจงให้สังคมได้เข้าใจ ตนจึงขอยืนยันว่า กกต เป็นองค์กรอิสระ และ มีความเป็นกลาง