“กลุ่มผู้ค้าโคขุนภาคเหนือ” ยื่นหนังสือร้อง ”หมอระวี” วอนประสาน รบ.ทบทวนส่งโคออกนอกประเทศ หวั่น เนื้อโคราคาถูกอัพสูง ด้าน ”หมอระวี” เตรียมยื่นเรื่องให้ กมธ.เกษตรตั้งอนุ กมธ.ศึกษาเรื่องนี้โดยด่วน
เมื่อเวลา 12.15 น.นพ.ระวี มาศฉมาดล ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคพลังธรรมใหม่ รับหนังสือร้องเรียนจากนายอำนวย เซลามัน ผู้ประกอบอาชีพค้าเนื้อชำแหละและฟาร์มโคขุนภาคเหนือ โดยนายอำนวย กล่าวว่า ปัจจุบันผู้ประกอบอาชีพค้าเนื้อชำแหละและเลี้ยงโคกระบือมีชีวิต เพื่อจำหน่ายได้ประสบปัญหา คือ การเข้ามาของกลุ่มทุนหรือกลุ่มพ่อค้าต่างชาติที่มีเงินทุนมหาศาล โดยเฉพาะจากประเทศจีนและเวียดนาม ได้เข้ามารับซื้อโคกระบือมีชีวิตเป็นจำนวนมาก โดยการจ้างคนไทยหรือการตั้งตัวแทนคนไทย เข้ามากว้านซื้อโคกระบือทีมีชีวิต แบบไม่จำกัดปริมาณและคุณภาพ ทั้งพ่อพันธุ์และลูกโคกระบือ จากตลาดนัดทั่วประเทศ โดยเฉพาะในภาคเหนือตอนบน แล้วนำโคกระบือเหล่านั้นส่งออกผ่านด่านชายแดนในภาคเหนือตอนบนไม่ว่าจะเป็น ด่านเชียงแสน เชียงของ ซึ่งอาจจะเป็นการค้าที่มีการนำเงินเข้ามาในประเทศโดยไม่ผ่านระบบธนาคารและไม่ได้ขออนุญาตอย่างถูกต้อง
ทั้งนี้ยังส่งผลให้เกิดการแย่งชิงปศุสัตว์ดังกล่าวจากพ่อค้าคนไทย อีกทั้งยังส่งผลให้ราคาเนื้อโคกระบือในประเทศสูงขึ้นอย่างมาก ทำให้ประชาชนต้องซื้อมาบริโภคในราคาแพง และยังเป็นการทำลายพันธุ์โคกระบืออย่างมาก เนื่องจากการรับซื้อผ่านตัวแทนของพ่อค้าต่างชาติเหล่านั้น ไม่คำนึงถึงปริมาณ กล่าวคือ ซื้อออกไปทั้งหมด ไม่จำกัดเพศและอายุของโคกระบือ มีเท่าไร ก็จะรับซื้อทั้งหมด เป็นเหตุให้โคกระบือในประเทศที่ปกติพ่อค้าและเกษตรกรในประเทศต้องซื้อหรือนำเข้ามาจากประเทศพม่าเป็นเวลานานแล้ว ขาดแคลนมากยิ่งขึ้น
“หากรัฐบาลยังปล่อยให้เหตุการณ์เป็นเช่นนี้ต่อไป จะก่อให้เกิดผลกระทบต่อ ผู้ประกอบการค้าเนื้อและเกษตรกรโคกระบือขุนทุกท้องที่ในประเทศไทยต้องประสบกับหายนะในอนาคตอันใกล้อย่างแน่นอน คนไทยจะตกงานเพิ่มขึ้น และประชาชนจะไม่สามารถหาซื้อเนื้อซึ่งเป็นโปรตีนมาบริโภคได้ในราคาต่ำ ด้วยเหตุดังกล่าว จึงขอให้มีการดำเนินการระวังการส่งออกโคกระบือออกไปต่างประเทศ
ด้านนพ.ระวีกล่าวว่า เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องด่วน ตนจะรับเรื่องดังกล่าวและส่งหนังสือไปถึงนายกรัฐมนตรีเพื่อขอให้เร่งพิจารณา เนื่องจากมีความเกี่ยวข้องอยู่ในหลายกระทรวง และในวันพุธหน้า ตนจะนำกลุ่มผู้เรียกร้องเข้ายื่นหนังสือต่อกรรมาธิการการเกษตร เพื่อขอให้มีการตั้งคณะอนุกรรมาธิการ ศึกษาการเลี้ยงและการส่งออกอย่างเป็นระบบ