“เฉลิมชัย” เรียกทุกหน่วยงาน ประชุมด่วน ในสัปดาห์นี้ วางมาตรการป้องกันและบรรเทาผลกระทบจากภัยแล้งด่วน ชี้ภาวะน้ำน้อยจะทำผลผลิตเสียหาย ต้นทุนการผลิตสูง ส่งผลให้ราคาขายเพิ่ม กระทบผู้บริโภค พร้อมกำชับเข้มรายงานผลดำเนินการตามนโยบายปฏิรูปภาคการเกษตรทุกเดือน ตั้งคณะกรรมการติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายเงินงบประมาณของกระทรวงเกษตรฯ เพื่อให้ใช้งบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดและตรวจสอบได้ เมื่อวันที่ 14 ม.ค. นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า เรื่องเร่งด่วนซึ่งเป็นห่วงที่สุดขณะนี้คือ การกระทบจากภัยแล้ง ทุกหน่วยงานต้องป้องกันและบรรเทาปัญหาทันที โดยระหว่างที่ต้องรอวุฒิสภาพิจารณา (ร่าง) พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2563 ในวันที่ 20 ม.ค. นี้ให้ใช้งบประมาณปี 2562 ดำเนินการไปพลางก่อน จากการประเมินของสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) ภาวะน้ำน้อยในฤดูแล้งและภาวะฝนทิ้งช่วงที่อาจเกิดขึ้นในต้นฤดูกาลเพาะปลูกใหม่ จะทำให้ข้าวนาปรังปี 62/63 เสียหายได้ ทั้งนี้กระทรวงเกษตรฯ กําหนดแผนการเพาะปลูกข้าวนาปรังทั่วประเทศ 4.54 ล้านไร่ เพาะปลูกแล้ว 3.12 ล้านไร่หรือร้อยละ 68.72 ของแผน แต่พื้นที่ปลูกส่วนใหญ่อยู่ในลุ่มเจ้าพระยาซึ่งไม่มีแผนทำนาปรัง กรมชลประทานไม่มีแผนจัดสรรเพื่อการเกษตร ที่ผ่านมาชาวนาเคยซื้อน้ำมาเลี้ยงต้นข้าวทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น ถ้าสูบน้ำจากระบบชลประทานจะกระทบต่อแผนการบริหารจัดการน้ำอีกด้วย ส่วนไม้ผลโดยเฉพาะทุเรียนซึ่งเป็นพืชที่มีมูลค่าสูงอาจได้รับผลกระทบในเรื่องการติดดอกออกผล พืชไร่ที่สําคัญได้แก่ อ้อย ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มันสําปะหลัง และสับปะรดจะเจริญเติบโตช้า ปริมาณผลผลิตต่อไร่และคุณภาพผลผลิตมีแนวโน้มลดลง สำหรับแหล่งปลูกกล้วยไม้ หากมีน้ำเค็มรุกจะทำให้ช่อสั้น ดอกเล็ก ไม่ได้ตามคุณภาพส่งออก รวมถึงอาจมีอาการใบไหม้ได้ ปศุสัตว์จะเจริญเติบโตช้าเนื่องจากอากาศร้อน พืชอาหารสัตว์ไม่เพียงพอ สุขภาพอ่อนแอและเจ็บป่วย ผู้เลี้ยงปลาในกระชังเสียงอาจเสียหายเนื่องจากปริมาณน้ำในแหล่งน้ำธรรมชาติลดลงและอากาศร้อนทําให้สัตว์น้ำเติบโตช้า “ภัยแล้งอาจส่งผลกระทบต่อเนื่องให้ราคาสินค้าเกษตรดังกล่าวมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นเนื่องจากต้นนทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้นซึ่งไม่ต้องการให้กลายเป็นภาระของผู้บริโภค จึงสั่งการทุกหน่วยให้เร่งประชุมกำหนดแผนปฏิการป้องกันและลดกระทบภัยแล้งในสัปดาห์นี้”นายเฉลิมชัย กล่าว ด้านนายระพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ เลขาธิการ สศก. กล่าววา ในวันนี้ (14 ก.พ.) ทุกหน่วยงานต้องส่งแผนปฏิบัติการ (Action Plan) ภาคการเกษตรปี 2563 ทั้ง 8 ประเด็นแก่สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) ที่จะรวบรวมนำเสนอปลัดกระทรวงฯ และรมว. เกษตรฯ ตามลำดับ จากนั้นปลัดกระทรวงจะเรียกประชุมด่วนในวันที่ 17 ม.ค. เพื่อพิจารณาและเร่งรัดการดำเนินการตามที่กรมต่างๆ เสนอ นโยบายปฏิรูปภาคการเกษตรประกอบด้วย 8 ประเด็นหลักได้แก่ การบริหารจัดการแหล่งน้ำทั้งระบบ การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าให้เกษตรกรได้แก่ การปฏิบัติการฝนหลวง การจ้างงานของกรมชลประทานในหน้าแล้ง การส่งเสริมการปลูกพืชใช้น้ำน้อยในช่วงฤดูแล้ง การส่งเสริมการเลี้ยงปศุสัตว์ที่มีความต้องการของตลาด (โค/กระบือ/ แพะ) การควบคุมและป้องกันโรคทั้งพืชและสัตว์ การใช้ระบบตลาดนำการผลิต การลดต้นทุนการผลิต การส่งเสริมเกษตรปลอดภัยและเกษตรอินทรีย์ การบริหารจัดการประมงอย่างยั่งยืน การจัดสรรที่ดินทำกิน (ส.ป.ก.) การจัดทำข้อมูลสารสนเทศด้านการเกษตร และการพัฒนาศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร (ศพก.) ทั้งนี้ รมว.เกษตรฯ ได้แต่งตั้งคณะกรรมการบริหารการขับเคลื่อนงานนโยบายสำคัญและการแก้ไขปัญหาภาคเกษตรขึ้นเพื่อกำกับให้เป็นไปตามแผนปฏิบัติการ นอกจากนี้ยังแต่งตั้งคณะกรรมการติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายเงินงบประมาณของกระทรวงเกษตรฯ ทำหน้าที่ติดตามความก้าวหน้าผลการเบิกจ่ายงบประมาณประจำปี 2563 โดยต้องรายงานรมว. เกษตรฯ ทุกระยะและจัดส่งข้อมูลแผนการเบิกจ่ายงบประมาณแก่สำนักงบประมาณผ่านทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ตามที่สำนักงบประมาณกำหนด เน้นย้ำให้ใช้งบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ตลอดจนตรวจสอบได้และไร้ทุจริต