เก้าอี้เริ่มสั่นคลอนแล้วสำหรับ "โอเล กุนนาร์ โซลชาร์" ผู้จัดการทีม “ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทีมดังในศึกพรีเมียร์ลีก ประเทศอังกฤษ ที่พาทีมแพ้ให้กับ "เรือใบสีฟ้า" แมนเชสเตอร์ ซิตี คารังของตัวเอง ในศึก"คาราบาว คัพ" รอบรองชนะเลิศ นัดแรก เมื่อคืนวันอังคารที่ 7 ม.ค.63 ที่ผ่านมา อีกทั้งฟอร์มการเล่นของลูกทีมก็กำลังดิ่งเหวลงทุกวัน บาดแผลล่าสุดของ “โซลชาร์” เป็นเกมแข่งขันรายการ "คาราบาว คัพ" ที่ผลการแข่งขันเป็นฝ่ายแพ้คาบ้านให้กับคู่แข่งร่วมเมืองไปถึง 1-3 ซึ่งเป็นการพ่ายแพ้ให้กับ "เรือใบสีฟ้า" ในรังตัวเองมากที่สุดในรอบ 22 ปี ทั้งนี้ ก่อนเกมการแข่งขัน "คาราบาว คัพ" จะเริ่มขึ้น แมนฯ ยูไนเต็ด ต้องเจอข่าวร้ายสุดๆเมื่อ "แฮร์รี แม็กไกวร์" ปราการหลังแพงสุดของโลก กล้ามเนื้อสะโพกฉีก คาดว่าจะต้องพักยาว โดยแนวรับค่าตัว 80 ล้านปอนด์ (ประมาณ 3.2 พันล้านบาท) บาดเจ็บตั้งแต่เกม เอฟเอ คัพ รอบ 3 ซึ่งเสมอ วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ส 0-0 ที่สนาม โมลินิวซ์ สเตเดียม สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา (4 ม.ค.) แล้วยังฝืนเล่นต่อ เป็นเหตุให้อาการทรุดหนักกว่าเดิม อีกทั้ง "ปีศาจแดง" ยังไม่มี "ปอล ป็อกบา" ห้องเครื่องตัวเก่งที่เข้ารับการผ่าตัดรักษาอาการบาดเจ็บที่ข้อเท้าขวา ต้องพลาดลงสนามให้ แมนฯ ยูไนเต็ด ถึง 28 นัดในฤดูกาลนี้ และคาดว่า จะต้องพักไปอีกราว 4 สัปดาห์ หลังจากการผ่าตัดลุล่วงไปด้วยดี เมื่อถึงวันแข่งขัน แมนฯ ซิตี ทีมเยือนทำเอาสาวก "เรดเดวิลส์" ช็อกกันทั้งสนาม เมื่อออกนำก่อนถึง 3-0 ในครึ่งแรกจาก ด้วยฝีเท้าของ "แบร์นาโด ซิลวา" รวมทั้ง"ริยาด มาห์เรซ" และการทำเข้าประตูตัวเองของ "อันเดรียส เปเรรา" ก่อนที่ครึ่งหลัง "มาร์คัส แรชฟอร์ด" จะยิงให้ยูไนเต็ดไล่ขึ้นมา 1 ประตู แต่ก็ตามไม่ทัน ต้องไปลุ้นต่อนัดสองที่เอติฮัด สเตเดียม รังเหย้าของเรือใบสีฟ้า โดยภายหลังจบเกมการแข่งขัน "กุนซือปีศาจแดง" ได้ออกมาตำหนิลูกทีมถึงฟอร์มการเล่นที่เลวร้ายครั้งนี้ “เรารับมือกับระบบการเล่นของพวกเขาได้ไม่ดีพอ เรารู้ว่าพวกเขาสามารถเล่นด้วยแนวทางนั้นได้ พวกเขาเล่นแบบนั้นเมื่อฤดูกาลที่แล้ว และเอาชนะเชลซีถึง 5-0 ประตูแรกที่เสียไปเราทำอะไรไม่ได้ ส่วนประตูที่สองเราแย่กันเอง และยังไม่ฟื้นจนมาโดนประตูที่สาม จากประตูแรกของพวกเขาจนถึงช่วงพักครึ่ง นั่นคือฟอร์มที่เลวร้ายที่สุดที่เราเล่นมาเลย อย่างไรก็ตาม ด้วยประสบการณ์ของ มาติช ในครึ่งหลัง เขาทำให้เราดูดีขึ้นมา มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับการต้องการบอล และความมั่นใจในการผ่านบอล” "โซลชาร์" ยังส่งคำเตือนไปถึง แมนฯ ซิตี ด้วยว่า ยูไนเต็ดเคยพลิกสถานการณ์เข้ารอบมาแล้ว ยกตัวอย่างเกมแชมเปียนส์ลีกกับ ปารีส แซงต์ แชร์กแมง และทีมของเขาต้องมีความเชื่อว่าจะเค้นฟอร์มออกมาได้ แม้ว่ามันจะเป็นภูเขาสูงชันที่ต้องปีนขึ้นไป แต่ยังสามารถปีนขึ้นไปได้ ส่วนทางด้าน "เควิน เดอ บรอยน์" มิดฟิลด์ตัวเก่งของ แมนฯ ซิตี ก็ออกมาซ้ำเติมการปราชัยของปีศาจแดง ถึงแผนการซ้อมของ "เปป กวาร์ดิโอลา" กุนซือของทีมพวกเขาที่ใช้เวลาในการซักซ้อมแผนการเล่นในเกมบุกเยือน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในศึกคาราบาว คัพ รอบรองชนะเลิศ นัดแรก เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ในช่วงเช้าวันแข่งแค่ 15 นาทีเท่านั้น ก่อนผลลงเอยด้วยชัยชนะของ “เรือใบสีฟ้า” ในเกมดังกล่าว “เรือใบสีฟ้า” ไม่ส่งหัวหอกตัวเป้าทั้ง "เซร์คิโอ กุน อเกวโร" และ"กาเบรียล เชซุส" ลงเป็น 11 คนแรก ซึ่งแผนดังกล่าวได้ผลหลังทีมเรือใบสีฟ้ายิงได้ถึง 3 ประตูภายในช่วงเวลาแค่ 22 นาที และนำก่อนถึง 3-0 ในครึ่งแรก ก่อนจะเอาชนะไปในที่สุด “เราใช้เวลาราว 15 นาทีในการซ้อมแผนในช่วงเช้าวันแข่ง มันก็แค่นั้นแหละ เมื่อวันจันทร์เราไม่ได้ซ้อม เราจึงมาลงซ้อมกันในช่วงเช้าวันอังคาร แต่ก็ไม่ใช่ว่าเราไม่เคยทำแบบนี้มาก่อน เราเคยใช้แผนแบบนี้มาแล้วในการเจอกับทีมที่เล่นแบบประกบตัวในแดนกลาง เราเคยทำแบบนี้มา 2-3 ครั้งแล้ว” เดอ บรอยน์ ระบุ สำหรับการวิเคราะห์หลังเกมการแข่งขันระหว่าง "ปีศาจแดง" กับ "เรือใบสีฟ้า" เป็นเกมที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ออกสตาร์ตได้อย่างหวือหวาในช่วง 15 นาทีแรกแม้พวกเขาจะเป็นฝ่ายครองบอลได้น้อยกว่า แต่บอลเร็วตามช่องของ ปีศาจแดง กลับหวังผลได้ลุ้นในพื้นที่สุดท้ายมากกว่า แมนฯ ซิตี ที่ทำได้แค่เคาะบอลป้วนเปี้ยนไปมา แต่ทว่าประตูจาก "แบร์นาโด ซิลวา" ที่ยิงไกลให้ทีมเยือนออกนำในนาทีที่ 17 ส่งผลให้โมเมนตัมตกไปอยู่กับพลพรรค แมนฯซิตี หลังจากนั้นก่อนที่พวกเขาจะเรียงคิวซัลโวหนีห่างเป็น 3-0 ก่อนจบครึ่งแรก ถึงแม้ว่าเจ้าถิ่นดูจะกระตือรือร้นขึ้นมาอยู่บ้างหลังพักครึ่งพยายามเร่งเครื่องในเกมรุกแต่ก็ทำได้เพียงประตูปลอบใจจาก "มาร์คัส แรชฟอร์ด" ในช่วงครึ่งหลัง ยิ่งเวลาของเกมทผ่านไปนานเท่าไหร่ ก็ยิ่งเห็นถึงความแตกต่างระหว่างของทั้ง 2 ทีม มากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ทั้งคลาสของนักเตะที่แตกต่างกันอย่างสุดขั้ว รูปแบบการเล่นที่สามารถหวังผลได้มากกว่าของ "เรือใบสีฟ้า" รวมไปถึงการสอดประสานของนักเตะในทีม และความกระตือรือร้นก็มีมากกว่าเจ้าถิ่น ทั้งๆที่ "ปีศาจแดง" ได้ปักหลักเล่นในถิ่นของตัวเอง กลับดูไม่เหมือนว่าพวกเขาเล่นในรังเหย้าของตัวเองเลยแม้แต่น้อย เมื่อถูกผู้มาเยือนดาหน้าไล่ทำเกมรุกเข้าใส่อย่างต่อเนื่อง และเป็น "ฟิล โจนส์" เซ็นเตอร์แบ็ควัย 27 ปี ที่กลายเป็นจุดอ่อนในแนวรับของ แมนฯ ยูไนเต็ด ซึ่งเจ้าตัวไม่สามารถต้านทานเกมรุกที่ร้อนแรงของ "เรือใบสีฟ้า" ได้เลยแม้แต่น้อย การเข้าสกัดแทบทุกครั้งของ ฟิล โจนส์ เต็มไปด้วยความไม่มั่นใจ ไร้ซึ่งความเด็ดขาดอย่างเห็นได้ชัด การประจำการที่ตำแหน่งเซ็นเตอร์แบ็คฝั่งซ้ายยังทำให้เขาต้องงานชุกในการคอยซ้อนรุ่นน้องอย่าง "แบรนดอน วิลเลียมส์" แทบตลอดทั้งเกม รวมไปถึง "เจสซี ลินการ์ด" วัย 27 ปี ในบทบาทเพลย์เมกเกอร์หมายเลข 10 ทำเกมอยู่หลังกองหน้าตัวเป้า และมีเวลาอยู่ในสนามแค่เพียง 45 นาที ก่อนจะถูกเปลี่ยนตัวออกเมื่อแทบไม่มีบทบาทกับเกมเลย หลังจากที่ "โซลชาร์" พาทีมแพ้ให้กับคู่แข่งร่วมเมือง รวมถึงฟอร์มการเล่นโดยรวมของลูกทีมที่สามวันดี สี่วันไข้ ก็มีกระแสข่าวหนาหูว่าอาจจะต้องเสียเก้าอี้ "นายใหญ่" ในถิ่นโอลด์แทรฟฟอร์ด โดยมีชื่อของ "มัสซิมิเลียโน อัลเลกรี" เป็นตัวเต็งในการเข้ามาเป็นกุนซือคนใหม่ของแมนฯยูไนเต็ด ทั้งนี้ มัสซิมิเลียโน อัลเลกรี วัย 52 ปี ชาวอิตาลี เป็นกุนซือว่างงานที่ตกเป็นข่าวกับทัพปีศาจแดงอย่างหนักหน่วงในช่วงก่อนหน้านี้ ซึ่งล่าสุดสื่อเมืองผู้ดีประโคมข่าวว่า นับตั้งแต่อัลเลกรี แยกทางกับทีม"ม้าลาย" ยูเวนตุส ยอดทีมในศึกกัลโช เซเรียอา ประเทศอิตาลี เมื่อซัมเมอร์ก่อน เจ้าตัวก็เฝ้ารอที่จะได้คุมปีศาจแดงมาโดยตลอด ยิ่งในช่วงเวลานี้แมนฯยูไนเต็ด เริ่มกลับมามีฟอร์มที่ย่ำแย่ จากผลงานไม่ชนะมา 3 เกมติด จนแฟนบอลเรด เดวิลส์เริ่มกลับมาไม่พอใจ และอยากไล่ "โซลชาร์" ออกจากตำแหน่ง จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ "อัลเลกรี" ตกเป็นข่าวกับทัพปีศาจแดง นอกจากนี้ สื่อหลายสำนักของประเทศอังกฤษ ยังมีชื่อของ "เมาริซซิโอ โปเช็ตติโน" อดีตผู้จัดการทีม"ไก่เดือยทอง" ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ เป็นหนึ่งในแคนดิเดตแย่งชิงเก้าอี้กุนซือปีศาจแดงเช่นเดิม ถึงแม้ว่ากระแสข่าวหลุดจากเก้าอี้ของ "โซลชาร์" ที่กำลังมาแรงในช่วงนี้ แต่เชื่อว่า “กุนซือชาวนอร์เวย์” ที่มี "เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน" อดีตผู้จัดการทีมปีศาจแดง ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลสหราชอาณาจักร โดยคว้าแชมป์มาครองได้เกือบ 40 รายการ รวมถึงพรีเมียร์ ลีก 13 สมัย ตลอดช่วงการคุมทีม เป็นแบ็คหนุนหลัง จะสามารถรักษาตำแหน่ง “นายใหญ่” ได้อีกยาวนาน ถึงแม้ฤดูกาลนี้จะไม่ติด “ท็อปโฟร์” ก็ตาม กระบะตัวจริงเรื่องบรรทุกหนัก ลุยได้ทุกสภาพถนน สนใจคลิก!