เพจเฟซบุ๊ก Peace News โพสต์ข้อความระบุว่า ... แนะ รบ.ใจกว้างร่วมมือเคารพสิทธิ์ ปชช. ชี้วิ่งไล่ลุงเป็นกิจกรรมการเมืองน่ารักที่สุด “จตุพร” ย้ำวิ่งไล่ลุงเป็นกิจกรรมแสดงออกทางการเมืองของ ปชช.ที่น่ารักที่สุดในรอบ 10 ปี ขอรัฐอย่าพะวง วิตกจริตเกินเหตุ ชี้ยิ่งสกัดกั้นยิ่งก่อกระทบกระทั่งโดยไม่จำเป็น แนะรัฐร่วมมือเคารพสิทธิเสรีภาพ ปชต.ของ ปชช. แนะเปิดใจกว้าง อยากวิ่งตำรวจจัดให้ คอยคุ้มกันความปลอดภัย เตือนอย่าขัดขวางยิ่งทำให้ฮึกเหิม เมื่อ 10 ม.ค. 2563 นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวถึงกิจกรรมวิ่งไล่ลุง ผ่านรายการหยิบข่าวมาคุย สถานีโทรทัศน์ดาวเทียมพีซทีวี โดยเตือนสติรัฐบาลว่า อย่าได้วิตกจริตเกินเหตุกับการวิ่งไล่ลุงในวันที่ 12 ม.ค.นี้ที่สวนรถไฟ และต่างจังหวัด เพราะ การจัดกิจกรรมนี้เป็นการแสดงออกทางการเมืองที่น่ารักที่สุดของประชาชนในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา นายจตุพร กล่าวว่า เมื่อการวิ่งไล่ลุงเป็นกิจกรรมการเมืองที่เบาที่สุด และรัฐบาลพยายามอธิบายมาจากเลือกตั้งด้วยสิทธิ์พิเศษต่างๆก็ตาม แค่ขอให้เคารพสิทธิ์ประชาชน และอำนวยความสะดวก ดูแลความปลอดภัย ซึ่งปัญหาจะไม่เกิดเลยถ้ารัฐบาลแสดงความใจกว้าง "ถ้ารัฐบาลใจแคบ วิตกจริต เอาอะไรไปกั้นสกัดจะเกิดแรงปะทะโดยไม่จำเป็น เรื่องถ้าปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ ไม่ลุกล้ำก้ำเกินกันและกัน ขณะเดียวกันกลไกรัฐก็ร่วมมือกับผู้จัดเสีย มันจะจบลงอย่างง่ายดาย" อีกทั้ง ระบุว่า หากไม่ปฏิบัติโดยเคารพสิทธิ์ประชาชนแล้ว ผลลัพธ์ที่ตามมาจะกลายเป็นคนละเรื่อง เพราะเส้นทางวิ่ง 3.6 กิโลเมตร มีผู้แสดงความจำนงค์ร่วมวิ่งหมื่นกว่าคน แต่เชื่อว่าเมื่อถึงวันวิ่งแล้ว ถ้าคาดโดยประสบการณ์ตัวเองจะมีประชาชนมาจริงและเพิ่มถึง 3 หมื่นคนได้ ดังนั้น รัฐต้องยอมรับในเรื่องนี้ พร้อมทั้งขอให้ปฏิบัติกับกลุ่มคนเดินเชียร์ลุงด้วยเช่นเดียวกัน สิ่งสำคัญรัฐไม่ควรไปขัดขวางกิจกรรมวิ่งไล่ลุงต่างจังหวัด เพราะยิ่งทำให้เกิดประเด็นย้อนกลับให้รัฐเสียหาย แล้วยิ่งสร้างความฮึกเหิมขึ้น "คนไทยทนเห็นความอยุติธรรมไม่ได้ ถ้าปล่อยให้เป็นไปปกติแล้ว กระแสวิ่งไล่ลุงจะไม่แรงขนาดนี้ แต่เพราะกลไกรัฐมีความพะวง เกิดวิตกจริต จึงทำสิ่งที่เกินความพอดีเสมอ ดังนั้นคนจึงแห่มาสนใจวิ่งไล่ลุง ถ้ารัฐบาลเข้าใจ มองเห็นเสรีภาพประชาชน มีสิทธิ์แสดงออกตามวิถีประชาธิปไตย เรื่องนี้จะไม่เป็นปัญหาอะไรเลย" อีกทั้ง พวกมือที่สาม เท้าที่สี่ในทางการเมืองของไทยนั้น ไม่รู้ว่าเป็นใคร ดังนั้น ในคืนวันเสาร์ (11 ม.ค. ก่อนการวิ่งหนึ่งวัน) รัฐบาลต้องสั่งกลไกรัฐตรวจตราอย่างละเอียดยิบทุกพื้นที่ ไม่ให้มีสิ่งที่จะทำให้เกิดความตื่นตระหนก จนทำให้เกิดความปั่นป่วน แตกตื่นมากระทำความไม่ปลอดภัยให้กับประชาชนได้ นายจตุพร ยกตัวอย่างการชุมนุมของคนเสื้อแดงที่โบนันซา เขาใหญ่ เป็นกรณีศึกษาว่า ประชาชนไปร่วมงานเรือนแสนคน กางเต็นท์จัดกิจกรรมกันข้ามคืน จนยุติ เลิกลา แยกกันกลับบ้านอย่างสงบ แต่เมื่อรื้อเต็นท์ กลับพบเต็นท์บรรจุวัตถุระเบิดไว้ที่ท่อเสาเต็นท์หลังหนึ่ง พร้อมมียากันยุงจุดเป็นเชื้อประทุ บังเอิญยากันยุงดับ เหตุการณ์ระเบิดจึงไม่เกิดขึ้น กรณีศึกษาเช่นนี้ บอกว่า มีบางฝ่ายต้องการให้เกิดเสียงระเบิดดังสนั่นขึ้น แม้ระเบิดไม่สามารถทำให้ถึงอันตรายต่อชีวิตได้ แต่ปกติแล้วเมื่อมีเสียงระเบิด คนจำนวนมากจะเกิดความแตกตื่น แล้ววิ่งหนีกันชุลมุน เกิดความปั่นป่วนแล้วเหยียบกันตาย ซึ่งเคยมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นในวันแข่งเรือของประเทศเขมรมาแล้ว จนคนถูกเหยียบตายถึง 300 คน "ที่พูดผมไม่ได้ต้องการให้คนกลัว อย่าไปกลัวอะไร ขอไปแสดงออกเพื่อสิทธิ์เสรีภาพ และการชุมนุมไม่มีใครกลัวกันอยู่แล้ว ฉะนั้นอย่าไปกลัว แต่พูดมานั้นเพื่อความรอบคอบ ต้องการให้รัฐมีแนวทางตรวจตราป้องกันเหตุ ให้ความปลอดภัยกับคนมาร่วมกิจกรรมวิ่งครั้งนี้ ขออย่าวิตกเลย" นายจตุพร ย้ำว่า ที่เล่าเหตุการเสื้อแดงชุมนุมที่โบนันซ่าให้ฟัง เพื่อเป็นกรณีตัวอย่าง ขออย่าได้กลัวเลย อยากร่วมวิ่ง ก็จงไปวิ่ง อย่ากลัว และรัฐบาลต้องเปิดเสรีภาพในการวิ่งเลย ใครมีแรงวิ่ง จะวิ่งทั้งวันก็ไม่มีใครว่า ดังนั้น ถ้ารัฐบาลมีหัวใจโตแล้ว ก็ไม่เป็นปัญหา แต่การไปขัดขวางบางจังหวัดให้ บางจังหวัดไม่ให้ ท้ายที่สุดก็เกิดการกระทบกระทั่งกันโดยไม่จำเป็น “กรณีวิ่งไล่ลุง เป็นการแสดงออกทางการเมืองของประชาชนอย่างน่ารักที่สุด รัฐบาลต้องกล้าบอกตำรวจอย่าไปขัดขวางเขา กรุงเทพวิ่งได้ ต่างจังหวัดก็วิ่งได้ เขาอยากวิ่งตรงไหนก็พาเขาไป ขอแค่ดูแลสองข้างทางให้เรียบร้อย ก็จะไม่เป็นปัญหา แล้วทุกอย่างก็จบกันวันที่ 12 ม.ค.เลย" นายจตุพร ย้ำ