วันที่ 10 ม.ค. 63 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่ คำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เรื่อง การแสดงบัญชีรายการทรัพย์สินและหนี้สิน [คดีหมายเลขดำที่ อม. 1/2562 คดีหมายเลขแดงที่ อม. 237/2562 ระหว่าง คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ผู้ร้อง นางระพิพรรณ พงศ์เรืองรอง ผู้ถูกกล่าวหา] โดยรายละเอียดระบุว่า... เรื่อง การแสดงบัญชีรายการทรัพย์สินและหนี้สิน ผู้ร้องยื่นคําร้องและแก้ไขคําร้องขอให้วินิจฉัยว่า ผู้ถูกกล่าวหาเป็นผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมือง จงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบต่อผู้ร้องด้วยข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ และมีพฤติการณ์อันควรเชื่อได้ว่ามีเจตนาไม่แสดงที่มาแห่งทรัพย์สิน หรือหนี้สินนั้น กรณีพ้นจากตําแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ได้แก่ 1. รายได้ค่าขายบ้านและที่ดิน จํานวน 15,000,000 บาท ทั้งที่มิได้มีการซื้อขาย และชําระเงินกันจริง 2. รายได้จากการรับจ้างทําของ จํานวน 8,100,096 บาท ทั้งที่มิได้มีการจ้างทําของ และชําระเงินกันจริง 3. รายการหนี้เงินกู้ยืมจาก นายไชยา พงศ์เรืองรอง จํานวน 2,000,000 บาท ทั้งที่มิได้มี การกู้ยืมเงินกันจริง 4. รายการหนี้เงินกู้ยืมจาก นายจุ้งเชียง เฉิน จํานวน 5,000,000 บาท ทั้งที่มิได้มี การกู้ยืมเงินกันจริง 5. รายการหนี้เงินกู้ยืมจาก นายสมบัติ พิษณุไวศยวาท จํานวน 6,000,000 บาท ทั้งที่มิได้มีการกู้ยืมเงินกันจริง และ 6. ไม่แสดงว่าเงินลงทุนในบริษัทเฮ้าส์ ออฟ ฮาร์ท พร๊อพเพอร์ตี้ 2012 จํากัด มูลค่า 25,000,000 บาท เป็นหุ้นที่ไม่ได้ชําระเงินค่าหุ้นขอให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของผู้ถูกกล่าวหาและลงโทษตามพระราชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 81, 114, 167 ประกอบมาตรา 188 ผู้ถูกกล่าวหาให้การปฏิเสธ พร้อมทั้งยื่นคําคัดค้านและแก้ไขคําคัดค้านว่า ผู้ถูกกล่าวหามิได้จงใจ ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบต่อผู้ร้องด้วยข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบกรณีพ้นจากตําแหน่ง ผู้ถูกกล่าวหายื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สิน และหนี้สินตามความเป็นจริง กรณีการรับเงินจาก นางอุไร พิชัยกําจรวุฒิ จํานวน 15,000,000 บาท เป็นค่ามัดจําตามสัญญาจะซื้อจะขาย ฉบับลงวันที่ 22 ธันวาคม 2554 และตามคําให้การของ นางอุไร ที่ได้ให้การไว้ต่อผู้ร้องเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2558 แต่ต่อมา นางอุไร กลับคําให้การ เนื่องจาก มีสาเหตุโกรธเคืองกับผู้ถูกกล่าวหาและ นายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง สามีผู้ถูกกล่าวหา จากการร่วมหุ้นกัน จัดตั้งบริษัทพัทยา โมเดิร์น จํากัด เป็นเหตุให้ นางอุไร ให้การเพิ่มเติมใหม่ต่อผู้ร้องเมื่อคู่สัญญา ตามสัญญาจะซื้อจะขายไม่จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์เป็นของผู้จะซื้อก็มีผลทําให้สัญญาจะซื้อจะขาย เป็นโมฆะเท่านั้น หาทําให้สัญญาหรือการชําระเงินค่ามัดจําสิ้นผลไปไม่ การที่ผู้ร้องไม่เชื่อสัญญาจะซื้อจะขาย ของผู้ถูกกล่าวหาเท่ากับเป็นการปฏิเสธเอกสารที่เป็นลายลักษณ์อักษร และไม่ปรากฏว่าผู้ร้องได้สอบสวนเชิงลึก ถึงประเด็นความขัดแย้งระหว่างผู้ถูกกล่าวหากับ นางอุไร ในกรณีสัญญาจ้างทําของ ขณะทําสัญญาจ้างทําของ นายอริสมันต์ และ นางอุไร ร่วมกันจัดตั้งบริษัทพัทยา โมเดิร์น จํากัด ซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการผลิตประตู หน้าต่าง ตู้เสื้อผ้า ประตูห้องน้ํา ยู.พี.วี.ซี. ในเวลาดังกล่าว นายอริสมันต์ รู้จักกับ นายอลงกรณ์ แซ่หวัง ผู้ประกอบกิจการโรงแรมและอยู่ในระหว่างก่อสร้างโรงแรม นายอริสมันต์ จึงทําสัญญาในนามของตนเอง เพื่อจะไปรับงานจาก นายอลงกรณ์ ในโครงการจอมเทียนฮอลิเดย์ และโครงการบูติก ซิตี้ โดยมีการรับเงินล่วงหน้า เป็นครั้ง ๆ มีจํานวนไม่แน่นอน และได้ส่งต่องานให้แก่บริษัทพัทยา โมเดิร์น จํากัด พยานบุคคลที่ผู้ร้องอ้าง เป็นบุคคลคนเดียวกับกรณีสัญญาจะซื้อจะขายดังกล่าวซึ่งมีปัญหาขัดแย้งกับผู้ถูกกล่าวหาในเรื่อง แบ่งผลประโยชน์และร่วมหุ้นในกิจการของบริษัทพัทยา โมเดิร์น จํากัด การทําสัญญาจ้างทําของ เป็นการทําระหว่างบุคคลไม่ใช่บริษัท ปรากฏตามคําให้การของ นายอลงกรณ์ ในรายงานผลการตรวจสอบ บัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของผู้ถูกกล่าวหา ในกรณีการกู้ยืมเงินของ นายไชยา พงศ์เรืองรอง จํานวน 2,000,000 บาท ตามสัญญากู้ยืมเงิน ฉบับลงวันที่ 15 ธันวาคม 2554 นายจุ้งเชียง เฉิน จํานวน 5,000,000 บาท ตามสัญญากู้ยืมเงิน ฉบับลงวันที่ 1 กันยายน 2555 และ นายสมบัติ พิษณุไวศยวาท จํานวน 6,000,000 บาท ตามสัญญากู้ยืมเงิน ฉบับลงวันที่ 9 กรกฎาคม 2556 ผู้ถูกกล่าวหา กู้ยืมเงินจากบุคคลทั้งสามจริง และมีหลักฐานเป็นหนังสือ นายไชยา และ นายสมบัติ มีความสนิทสนม กับผู้ถูกกล่าวหาและ นายอริสมันต์ เนื่องจากเป็นญาติของ นายอริสมันต์ ซึ่งได้ให้ความช่วยเหลือกันมาโดยตลอด และ นายจุ้งเชียง และผู้ถูกกล่าวหามีความสนิทสนมกันและผู้ถูกกล่าวหาเคยให้ความช่วยเหลือทางธุรกิจ แก่ นายจุ้งเชียง ในกรณีบริษัทเฮ้าส์ ออฟ ฮาร์ท พร๊อพเพอร์ตี้ 2012 จํากัด เป็นบริษัทซึ่งผู้ถูกกล่าวหา นายชนาธิป ชูศรี และ นางสาวธภัทร ช่างไม้ ร่วมกันจัดตั้งขึ้นเพื่อประกอบกิจการจัดสรรที่ดิน โดยถือหุ้นในจํานวนสัดส่วนเท่า ๆ กัน การถือหุ้นของ นางสาวธภัทร เป็นการถือหุ้นแทน นางวันดี ช่างไม้ มารดา ในขณะจัดตั้งบริษัทได้ตกลงร่วมกันให้นําเอาที่ดินโฉนดเลขที่ 1900 ตําบลนาจอมเทียน อําเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของ นางวันดี ไปดําเนินการขอกู้เงินจากสถาบันการเงินมา และตกลงว่าหุ้นส่วนทุกคนถือว่าได้ชําระค่าหุ้นแล้ว และนําเงินรายได้ที่ได้มาชําระหนี้ จึงถือเป็นการชําระค่าหุ้น แทนผู้เป็นหุ้นส่วนทุกคน เป็นเหตุให้ในการยื่นขอจดทะเบียนผู้เป็นหุ้นส่วนได้แสดงต่อนายทะเบียน ของกรมพัฒนาธุรกิจและการค้าว่าชําระค่าหุ้นแล้ว ต่อมาหุ้นส่วนทั้งสามมีปัญหาทะเลาะกัน และไม่ประสงค์จะดําเนินธุรกิจต่อไป เป็นเหตุให้มีการยกเลิกการเข้าหุ้น ต่อมา นางวันดี ฟ้องขอให้ เพิกถอนนิติกรรมและเรียกทรัพย์คืนเป็นคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 779/2560 ของศาลจังหวัดพัทยา ระหว่าง นางวันดี ช่างไม้ และบริษัทเฮ้าส์ ออฟ ฮาร์ท พร๊อพเพอร์ตี้ 2012 จํากัด ข้อตกลงดังกล่าว เป็นเหตุให้ผู้ถูกกล่าวหาต้องแสดงจํานวนหุ้นดังกล่าวไว้ในบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของผู้ถูกกล่าวหา ขอให้ยกคําร้อง อ่านรายละเอียดฉบับเต็ม