สู้ภัยแล้ง!“บิ๊กป้อม” ผนึกหน่วยงานรัฐ เตรียมเปิด “กองอำนวยการน้ำแห่งชาติ” สร้างความมั่นใจประชาชน มีน้ำใช้ตลอดแล้ง เมื่อวันที่ 10 ม.ค. พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานเตรียมเปิดกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ โดยมี ดร.สมเกียรติ ประจำวงษ์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) พร้อมด้วยผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านน้ำเข้าร่วมและรับฟังนโยบายการขับเคลื่อนการทำงานของกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ พร้อมประชุมทางไกลผ่านจอภาพ (Video Conference) เพื่อร่วมติดตามสถานการณ์ภัยแล้งในพื้นที่ของหน่วยงานต่าง ๆ อาทิ กรมอุตุนิยมวิทยา กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรมชลประทาน ณ ห้องประชุมน้ำปิง สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ทั้งนี้ พล.อ.ประวิตร ในฐานะผู้อำนวยการกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ กล่าวมอบนโยบายการขับเคลื่อนการทำงานของกองอำนวยการน้ำแห่งชาติว่า รัฐบาลมีความห่วงใยต่อสถานการณ์ภัยแล้ง และผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับประชาชน “กองอำนวยการน้ำแห่งชาติ” เกิดขึ้นตามมติที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 7 ม.ค.63 ซึ่งได้เห็นชอบกรอบโครงสร้างกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ ภายใต้ศูนย์บัญชาการเฉพาะกิจ ตามพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561 เพื่ออำนวยการ บูรณาการ และประสานการปฏิบัติกับหน่วยงานของรัฐ องค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่น รวมถึงภาคเอกชน ในการควบคุมวิกฤติน้ำในภาวะรุนแรงหรือคาดการณ์ว่าจะรุนแรง (ระดับ 2) โดยเฉพาะในพื้นที่เสี่ยงภัยแล้งให้อยู่ในวงจำกัด ให้หน่วยงานด้านปฏิบัติในพื้นที่สามารถทำการช่วยเหลือได้อย่างตรงจุด พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า โดยกรรมการมาจากผู้แทนจากหน่วยงานเกี่ยวข้อง อาทิ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรมอุตุนิยมวิทยา กรมชลประทาน กรมทรัพยากรน้ำ กรมควบคุมมลพิษ กรมเจ้าท่า การประปาภูมิภาค การประปานครหลวง การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย เป็นต้น มาปฏิบัติงานร่วมกัน โดยใช้ห้องประชุมชั้น 4 อาคารที่ทำการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ เป็นสถานที่ปฏิบัติงานของกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ โดยแบ่งการทำงานเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มอำนวยการ กลุ่มคาดการณ์ กลุ่มบริหารจัดการน้ำ กลุ่มแจ้งเตือนและประชาสัมพันธ์ โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ข้อมูลต่างๆ รวมถึงการเข้าให้ความช่วยเหลือบรรเทาผลกระทบมีความเป็นเอกภาพ ช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบได้อย่างทันต่อสถานการณ์ ซึ่งกองอำนวยการน้ำแห่งชาติจะสรุปรายงานต่อรองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ)ในฐานะผู้บัญชาการกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ และคณะรัฐมนตรีรับทราบเป็นระยะๆ รองนายกฯ กล่าวว่า ขณะเดียวกัน กองอำนวยการน้ำแห่งชาติ ยังทำหน้าที่ในการวิเคราะห์ ประเมินสถานการณ์ผลกระทบจากสถานการณ์ภัยแล้งในปีนี้ หากมีเกณฑ์เสี่ยงที่คาดว่าจะเข้าขั้นวิกฤติก็จะต้องพิจารณาเสนอการกำหนดเขตภาวะน้ำแล้งอย่างรุนแรง หรือระดับความรุนแรง สถานการณ์ภาวะวิกฤติน้ำ (ระดับ 3) ให้นายกรัฐมนตรีออกประกาศตามมาตรา 58 หรือคำสั่งจัดตั้งศูนย์บัญชาการเฉพาะกิจ ตามมาตร 24 แห่งพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561 หากเกิดกรณีวิกฤติตามลำดับต่อไป พล.อ.ประวิตร กล่าวอีกว่า สทนช.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านน้ำ ได้บูรณาการจัดทำแผนปฏิบัติการป้องกันแก้ไขปัญหาภัยแล้ง ปี 2562/63 ไว้ล่วงหน้าในการจัดเตรียมแหล่งน้ำสนับสนุนในพื้นที่เสี่ยงจะขาดแคลนน้ำพื้นที่เสี่ยงขาดแคลนน้ำ ทั้งน้ำอุปโภคบริโภค สถานพยาบาล และน้ำเพื่อสนับสนุนพืชเศรษฐกิจ โดยปรับแผนการดำเนินงานของทุกหน่วยงานในปีงบประมาณ 2563 ที่จัดลำดับความสำคัญของโครงการที่สามารถตอบสนองความต้องการใช้น้ำของประชาชนในพื้นที่ที่คาดว่าจะประสบปัญหาภัยแล้งก่อนเป็นอันดับแรก เช่น การขุดเจาะบ่อบาดาล การซ่อมแซมระบบประปา เพิ่มประสิทธิภาพโครงข่ายน้ำให้เข้าถึงประชาชนได้มากขึ้น เป็นต้น รวมถึงให้มีการเร่งรัดดำเนินการปรับปรุง ซ่อมแซมระบบน้ำ พัฒนาแหล่งกักเก็บน้ำ แก้มลิง ในกรอบวงเงินงบประมาณปี 2563 ควบคู่กันด้วย เพื่อเพิ่มพื้นที่เก็บกักน้ำได้ทันในฤดูฝนปี 2563 ด้วยเช่นกัน สำหรับพื้นที่ที่มีการปลูกข้าวนาปรังมากกว่าแผน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงมหาดไทย ต้องหามาตรการลดผลกระทบ ชดเชยหรือเยียวยา โดยให้เป็นไปตามกฎหมายระเบียบที่เกี่ยวข้อง “กองอำนวยการน้ำแห่งชาติ จะมีการติดตาม ประเมินผล ผลการดำเนินงานของทุกหน่วยงานให้เป็นไปตามเป้าหมาย แต่ทั้งนี้ รัฐบาลต้องขอความร่วมมือจากทุกภาคส่วนให้ช่วยกันประหยัดน้ำ และใช้น้ำให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อจะได้มีน้ำใช้อย่างเพียงพอในทุกกิจกรรมไปตลอดแล้งนี้ และในช่วงฤดูฝนถัดไป”พล.อ.ประวิตร กล่าว