ลั่นกลองรบเตรียมถล่มรัฐบาลอย่างขึงขัง แต่ก่อนจะแต่งกลศึกออกไปบีฑาศัตรู พรรคร่วมฝ่านค้านกลับเกิดความปั่นป่วนในทัพหลวงขึ้น เมื่อพรรคเพื่อไทย แกนนำพรรคฝ่ายค้านเกิดอาการช็อกเอาดื้อๆ ในสัปดาห์ก่อนดีเดย์นัดยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ หลังมีกระแสข่าวออกมาว่า “เจ๊หน่อย” คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ลาออกจากทุกตำแหน่งในพรรคเพื่อไทย โดยมีรายงานว่า “เจ๊หน่อย”ได้ยื่นหนังสือลาออกต่อ ทักษิณ ชินวัตร และ “คุณหญิงอ้อ”คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร แล้ว แสงสปอตไลต์ทางการเมือง จึงฉายจับไปที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ในแทบจะทันที พุ่งปมไปที่การเข้ามาทำหน้าที่ประธานคณะกรรมการกิจการพิเศษพรรคเพื่อไทย คุมทัพในศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ โดยการสนับสนุนของ ภูมิธรรม เวชยชัย ที่จับมือกับ สมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรค จนกลายเป็น “พื้นที่ทับซ้อน” ทางอำนาจกับ “เจ๊หน่อย” ด้วยหากจะว่าไปแล้ว อาการขบเหลี่ยมปีนเกลียวกันของ “เจ๊หน่อย” กับ “เหลิมบางบอน” ไม่ใช่เรื่องใหม่ คอการเมืองที่ติดตามข่าวมาตลอด ย่อมสำเหนียกถึงความเป็น “ไม้เบื่อไม้เมา” ของทั้งคู่เป็นอย่างดี เพียงแต่ “เสือสองตัว” จำใจต้องอยู่ร่วมชายคาเดียวกัน ภายใต้นายใหญ่คนเดียวกันคือ “ทักษิณ” เท่านั้น จึงทำให้ทั้งคู่ต่างต้อง “ซ่อนดาบในรอยยิ้ม” ทุกครั้งที่พบปะกัน อีกทั้งก่อนหน้านี้ที่คลื่นลมสงบนิ่ง ก็มาจากการแบ่งหน้าที่กันอย่างชัดเจน โดย “เจ๊หน่อย” ได้รับการโปรโมตให้เป็นประธานยุทธศาสตร์ของพรรค และเป็นหนึ่งในแคดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรค ทำให้“เหลิมบางบอน” ต้องโลว์โปรไฟล์ไปตามระเบียบ ทว่าจุดแตกหักระหว่างทั้งสองฝ่ายเกิดขึ้น ภายหลังการเคลื่อนไหวของ “เหลิมบางบอน” พร้อมด้วย ส.ส. อีสานจำนวนหนึ่ง พาเหรดกันบินไปพบ “ทักษิณ” ที่ฮ่องกง ทั้งในช่วงปลายเดือนพฤศจิกยน และต้นเดือนธันวาคมปี 2562 ที่ผ่านมา โดยมีรายงานว่า หลักใหญ่ใจความของการหารือกับนายใหญ่ คือการเสนอให้ปลด “เจ๊หน่อย” ออกจากตำแหน่งประธานยุทธศาสตร์พรรค เนื่องจากทำงานล้มเหลว แต่ก็ไม่เป็นผล ด้วย “เจ๊หน่อย”สามารถชี้แจงและเคลียร์ปัญหาต่างๆได้ จึงดูเหมือนว่าคลื่นลมจะสงบไปแล้ว ด้วยอาจเป็นห้วงเวลาระหว่างการเลือกตั้งซ่อม ส.ส.ขอนแก่น เขต 7 ด้วย จึงไม่ต้องการให้เกิดความปั่นป่วน กระทั่งผลการเลือกตั้งซ่อมส.ส.ขอนแก่น เขต 7 ออกมา ปรากฏว่าพรรคเพื่อไทยพบกับความพ่ายแพ้ แม้จะมาจากหลายปัจจัย ทั้ง “กระสุน” และ “กระแส” ที่ไม่ใช่ความผิดพลาดของ “เจ๊หน่อย” และ อนุดิษฐ์ นาครทรรพ เลขาธิการพรรค คนในคาถาของเจ้าแม่เมืองหลวง แต่ก็ต้องยอมรับว่าเป็นจังหวะให้ฝ่ายตรงข้ามได้ขยายแผล และเมื่อมีข่าวการเตรียมยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล และการ “คัมแบ็ก”กลับมาของ “เหลิมบางบอน” ในเก้าอี้ประธานคณะกรรมการกิจการพิเศษพรรคเพื่อไทย ที่มีหน้าที่ในการติดตามตรวจสอบการบริหารงานของรัฐบาล ประเดิมด้วยการจัดทัพศึกซักฟอก อีกทั้งรายงานลึกๆ ระบุว่ามีการวัด “กำลังภายใน” กันอยู่เนืองๆ ด้วยในทุกครั้งที่ “เจ๊หน่อย” เรียกประชุมส.ส.ของพรรค “เหลิมบางบอน”ก็จะเรียกประชุมในวันเดียวกัน ซึ่งโดยหัวโขนของ ร.ต.อ.เฉลิมตอนนี้ คือ หัวหน้าทีมอภิปราย นั่นย่อมทำให้ได้รับการติดตามจากสื่อมวลชน บรรดาส.ส.ของพรรคจึงแห่กันไปร่วมประชุมด้วย เมื่อบทบาทของ “เหลิมบางบอน”ถูกขับเน้นให้โดดเด่นขึ้น ย่อมทาบทับเงาของ “เจ้าแม่เมืองหลวง” อย่าง “เจ๊หน่อย” อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และเป็นที่มาของข่าวการลาออกดังกล่าว ท่ามกลางสถานการณ์ความง่อนแง่น ของความสัมพันธ์ระหว่างพรรคพลังประชารัฐ กับพรรคประชาธิปัตย์ ที่บรรยากาศเขม็งเกลียวขึ้น สะท้อนชัดจากการดึงงานประมง ในมือของรองนายกรัฐมนตรี จุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ ให้มาอยู่ในมือ “บิ๊กป้อม”พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นปฐมบทของสงครามสั่งสอน ที่ทำให้นักวิเคราะห์การเมืองมองถึงโอกาสที่จะสร้างความเข้มแข็งให้กับพรรคพลังประชารัฐ เพื่อลดอำนาจการต่อรองของบรรดาพรรคร่วมรัฐบาลอย่างพรรคประชาธิปัตย์ และภูมิใจไทย โดยมีกระแสข่าวว่า ส.ส.ของพรรคเพื่อไทย 20 กว่ารายอาจจะย้ายซบพรรคพลังประชารัฐ เมื่อมีข่าว “เจ๊หน่อย” ลาออกจากตำแหน่ง จึงมีการต่อจิ๊กซอว์ว่า อาจมีการทาบทาม “เจ๊หน่อย” และส.ส.ในสังกัดย้ายพรรคมาร่วมชายคากับพรรคพลังประชารัฐ ประกอบกับเป็นจังหวะที่มีความเคลื่อนไหวของ “เจ๊หน่อย” เปิดบ้านพักย่านลาดปลาเค้า เมื่อค่ำวันที่ 7 มกราคม 2563 นัดส.ส.ในสังกัดร่วมงานเลี้ยงสังสรรค์ปีใหม่และเลี้ยงขอบคุณทีมงานส.ส.ภาคอีสานที่ได้ร่วมกันหาเสียงเลือกตั้งซ่อมส.ส.ขอนแก่น เขต 7 ภายในงาน มีบรรดาแกนนำทั้ง ไพจิตร ศรีวรขาน สุทิน คลังแสง ทนุศักดิ์ เล็กอุทัย นายแพทย์สุรวิทย์ คนสมบูรณ์ ชวลิต วิชยสุทธิ์ พงศกร อรรณพพร วิสิทธิ์ เตชะธีราวัฒน์ สงวน พงษ์มณี รวมทั้งส.ส.จากภาคต่างๆ โดยเฉพาะ กลุ่มส.ส.หญิงภาคอีสาน และภาคเหนือ รวมทั้งกลุ่มคนรุ่นใหม่ในนามเพื่อไทยพลัส โดย “เจ๊หน่อย” ได้ส่งสัญญาณถึงสมาชิกพรรคว่า ไม่ต้องเป็นห่วง ยืนยันว่าไม่ว่าจะสถานะใดก็ตาม จะช่วยทุกคน ไม่ต้องการเห็นพรรคได้รับความเสียหาย เพราะความเห็นต่าง หรือปัญหาที่เกิดขึ้น เพราะยอมรับว่ามีบางคนที่ไม่ชอบซึ่งถือเป็นปัญหาจากตัวเรา “ยังยินดีที่จะช่วยเหลือทุกคนไม่ว่าจะใช้ไปที่ใด หลังจากนี้ในอนาคตไม่ว่าจะอยู่ที่ใดเราทุกคนจะยังคงรักกันเช่นเดิม” แน่นอนว่า รหัสนัยจากประโยคดังกล่าว ย่อมถูกตีความว่าเป็นสัญญาณทางการเมือง ประหนึ่งว่า “เจ๊หน่อย” อาจถอดใจไปจริงๆ ตามข่าว แต่เพียงข้ามวัน “เจ๊หน่อย”ก็ออกมาให้สัมภาษณ์ถึงข่าวการลาออกของตน โดยยืนยันว่ายังไม่มีการยื่นใบลาออก ไม่มีการลดบทบาทและไม่ได้มีปัญหากับ “สมพงษ์” หรือ ร.ต.อ.เฉลิม “ไม่รู้ใครเป็นผู้ปล่อยข่าวดังกล่าวออกมา แต่มีการทำเช่นนี้หลายครั้งแล้ว ตั้งแต่เข้ามาทำงานมีตำแหน่ง ก็ไม่รู้ว่าไม่ชอบอะไรตน คงต้องการทำให้ตนเสียหาย แต่มันทำให้พรรคเพื่อไทยเสียหายด้วย ที่ผ่านมาไม่เคยตอบโต้ เพราะคิดว่าพรรคต้องรบรากับคู่แข่งรอบทิศ จึงควรทำให้พรรคแข็งแรง จึงเก็บความขมขื่นในใจไม่เคยตอบโต้” “อยากให้คนที่ทำเช่นนี้นึกถึงพรรคด้วย พรรคการเมืองมีความคิดแตกต่างกันได้ แต่ถ้าใครคิดว่า ตนทำอะไรไม่ถูกควรพูดกับตนตรงๆ กล้าๆ บอกมาได้ ตนจะได้ปรับตัว หรือออกมาให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อเปิดชื่อออกมา ไม่ใช่ใช้วิธีลอบกัด เป็นแหล่งข่าวแบบนี้ถือว่าไม่ได้ทำตัวเป็นสุภาพบุรุษไม่มีศักดิ์ศรี” “วันนี้คนไม่กี่คนที่อาจไม่ชอบตนก็ควรพูดตรงๆ ที่ผ่านมาตนเต็มที่กับพรรคเพราะรักพรรค การปล่อยข่าวเช่นนี้ทำให้พรรคเสียหาย จึงอยากให้คิดถึงพรรคด้วย วันนี้คิดว่าพรรคแข็งแรงแล้วหรือ ถึงมาตีกันในพรรคเช่นนี้ ตนอยู่ตรงไหนก็ได้แต่ถ้าให้ไปอยู่กับฝ่ายตรงข้ามเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้” กระนั้นเมื่อพรรคเพื่อไทยมาเกิดรอยร้าวก่อนรบเช่นนี้ จึงน่าจับตาว่า ศึกซักฟอกที่หมายมั่นปั้นมือที่กำลังจะมาถึง ภายใต้การนำทัพของ “เหลิมบางบอน” จะมีข้อมูลเด็ด และสามารถน็อกรัฐบาลได้แค่ไหน หากเป็นข้อมูลที่เป็นข่าวตัดแปะอย่างที่ฉายหนังตัวอย่างออกมา ก็อาจถูกหยันว่าเป็นเพียงปาหี่ ท่ามกลางข่าวการรอเสียบพรรคร่วมรัฐบาลและเลือดไหลออก