จากรายงาน Global Economic Perspectives ฉบับเดือนมิถุนายน 2019 ของ World Bank ระบุว่า real GDP ของโลกยังติดลบในปี 2562-2563 และมีข้อจำกัดภายในประเทศ เช่น คุณภาพในการรองรับนักท่องเที่ยว การขาดการบริหารจัดการแหล่งท่องเที่ยว ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อทริปมีอัตราเติบโตในระดับต่ำ หรือคิดเป็นปีละ 3% และนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่เดินทางเข้ามาในไทย ยังเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวระดับกลาง-ล่าง นักท่องเที่ยวกลุ่ม high-end ที่มีรายได้มากกว่า 60,000 เหรียญสหรัฐต่อปี มีสัดส่วนเพียง 13% และมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยเพียง 2.1% ต่อปีเท่านั้น เผชิญกับสภาพแวดล้อมที่ท้าทาย ซึ่งทาง ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า บรรยากาศการเดินทางท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวในช่วงนี้อาจจะผ่อนแรงลงเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในส่วนของตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติ แม้จะมองว่านักท่องเที่ยวโดยภาพรวมจะมีจำนวนเพิ่มขึ้น แต่เป็นการเพิ่มขึ้นเฉพาะบางประเทศ เช่น นักท่องเที่ยวจากเอเชีย ขณะที่นักท่องเที่ยวหลายประเทศอาจจะปรับตัวชะลอลง อาทิ นักท่องเที่ยวจากยุโรป และโอเชียเนีย เป็นต้น จากปัจจัยเฉพาะของแต่ละประเทศที่ส่งผลต่อการเดินทางของนักท่องเที่ยว อาทิ การชะลอตัวของเศรษฐกิจ ความผันผวนของค่าเงิน รวมถึงการที่นักท่องเที่ยวมีจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวใหม่ๆ เป็นทางเลือก อีกทั้งในระยะข้างหน้า ธุรกิจท่องเที่ยวยังต้องเผชิญกับสภาพแวดล้อมที่ท้าทายขึ้นต่อไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความเสี่ยงของเศรษฐกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศที่จะมีผลต่อการตัดสินใจเดินทางท่องเที่ยวและการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยว การแข่งขันในธุรกิจท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของนักท่องเที่ยว เทคโนโลยีที่มีบทบาทในธุรกิจมากขึ้นและการเปลี่ยนแปลงทางสภาวะแวดล้อมของภูมิอากาศ ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้ จะส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจทำให้การวางแผนด้านธุรกิจคงจะต้องมีความระมัดระวังมากขึ้นเช่นกัน โดยเฉพาะการใช้กลยุทธ์การตลาดด้านราคาที่อาจจะมีความเข้มข้นขึ้นในการที่จะแย่งชิงฐานลูกค้า ซึ่งผู้ประกอบการคงจะต้องมีการวางแผนบริหารจัดการต้นทุนที่รอบคอบขึ้น ควรมีมาตรการท่องเที่ยวที่ชัดเจน ดังนั้น นาย ยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า ทาง ททท.จึงต้องกำหนดทิศทางของแผนปฏิบัติการประจำปี 2563 ไว้ว่า จะมุ่งเพิ่มรายได้ควบคู่กับการพัฒนาความยั่งยืนทางการท่องเที่ยว โดยเน้นการสร้างประสบการณ์ที่ดี ซึ่งจะเป็นการส่งมอบประสบการณ์เฉพาะของท้องถิ่น ที่ตรงกับความต้องการและพฤติกรรมของนักท่องเที่ยว ผ่านการตลาดและประชาสัมพันธ์ พร้อมการพัฒนาข้อมูลเชิงลึกและการเข้าไปมีส่วนร่วมในห่วงโซ่คุณค่าของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว โดยแนวทางการทำงานของ ททท.จะชู More Local Go Quality เน้นย้ำบทบาทการท่องเที่ยวให้เป็นเครื่องมือในการสร้างรายได้และลดความเหลื่อมล้ำ โดยด้านตลาดในประเทศจะคงเป้าหมายในการรักษาสัดส่วนรายได้จากการท่องเที่ยวในประเทศไว้ที่ 33% พร้อมกระจายรายได้จากการท่องเที่ยวไปสู่เมืองรองมากขึ้น ส่วนตลาดต่างประเทศจะมุ่งเจาะกลุ่มเป้าหมายเฉพาะที่มีการใช้จ่ายสูงอย่างหนัก เพื่อเพิ่มค่าใช้จ่ายต่อทริปให้สูงขึ้น รวมถึงจับมือกับพันธมิตรกับเอเย่นต์ท่องเที่ยวออนไลน์ และการเพิ่มระบบดูแลหลังการขาย เพื่อรักษาฐานนักท่องเที่ยวคุณภาพในระยะยาว ขณะที่ นักท่องเที่ยวชาวจีน ยังคงเป็นกำลังสำคัญในการพยุงภาคการท่องเที่ยวไทย โดยบริษัทที่ปรึกษาระดับโลก McKinsey คาดว่าในปี 2563 ชาวจีนจะออกเที่ยวต่างประเทศสูงถึง 160 ล้านทริป เพิ่มขึ้นจากปี 2562 ประมาณ 8.1% ซึ่งนายเจมส์ ไรลีย์ ซีอีโอกลุ่มเชนโรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล ยืนยันว่าชาวจีนยังนิยมท่องเที่ยว แม้จะประสบกับภาวะที่เศรษฐกิจถดถอย แต่นักท่องเที่ยวจีนเหล่านี้ยังเลือกที่จะมาเที่ยวไทยเป็นจุดหมายปลายทาง ไทยคือจุดหมายยอดนิยมของจีน ซึ่ง ข้อมูลจากหน่วยงานที่เก็บข้อมูลสถิตินักท่องเที่ยวจีน ระบุว่า ไทยคือจุดหมายยอดนิยมของจีนอันดับ 1 ตั้งแต่ปี 2559 จนถึงปัจจุบัน และไทยยังมีสิ่งที่คนจีนชื่นชอบหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นสถานที่ อาหาร วัฒนธรรม หรือนโยบายที่สนับสนุนการท่องเที่ยว เช่น มาตรการยกเว้นค่าธรรมเนียมวีซ่า ดังนั้นจึงคาดการณ์ได้ว่าปี 2563 จำนวนนักท่องเที่ยวจีนในไทย ยังสามารถขยายตัวได้ราว 6% และส่งผลให้นักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมดในไทยขยายตัวราว 5% ส่งผลดีต่อธุรกิจที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็น โรงแรม ร้านอาหาร เป็นต้น อีกทั้ง นายกลินทร์ สารสิน ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า เศรษฐกิจปี 2563 น่าจะดีกว่าปี 2562 เพราะทางรัฐบาลมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจหลายด้าน เช่น มาตรการชิมช้อปใช้ (ทั้ง 3 เฟส) มาตรการประกันรายได้สินค้าเกษตร เป็นต้น