คุยเฟื่องเรื่องต่างประเทศ / โดยดร.วิวัฒน์ เศรษฐช่วย แม้ว่าเวลาของการเลือกตั้งเพื่อเฟ้นหาตำแหน่งประธานาธิบดีคนต่อไปจะยังคงเหลืออีกสิบเดือนกว่าๆก็ตาม แต่ทว่าแวดวงการเมืองของสหรัฐฯยังคงมีประเด็นต่างๆที่จะต้องมีการถกเถียงกันอย่างดุเดือดเข้มข้นในอีกไม่ช้านี้อย่างแน่นอน โดยประเด็นร้อนๆเรื่องการถอดถอนประธานาธิบดีทรัมป์ ที่ขณะนี้มีแนวโน้มว่าวุฒิสมาชิกของพรรครีพับลิกันหากไม่มีใครเปลี่ยนใจแปรพักตร์ก็จะมีเสียงข้างมาก 53 ต่อ 47 เหนือกว่าพรรคเดโมแครต ซึ่งมีผลทำให้ประธานาธิบดีทรัมป์มิต้องถูกถอดถอนออกจากตำแหน่งก็ดุเดือดน่าสนใจไม่น้อย!!! ถึงอย่างไรก็ตาม “วุฒิสมาชิกลิซา เมอร์โคสกี” จากรัฐอะแลสกา สังกัดพรรครีพับลิกันได้ออกมาท้วงติง “วุฒิสมาชิกมิตช์ แมคคอนเนลล์” ผู้นำวุฒิสมาชิกของพรรครีพับลิกันเดียวกันกับเธอว่า “ข้าพเจ้ารู้สึกไม่สบายใจที่เห็นวุฒิสมาชิกแมคคอนเนลล์กำลังร่วมมือกับทำเนียบขาว เพื่อทำการปกป้องประธานาธิบดีทรัมป์” อีกทั้งเหตุผลหลักๆที่ขณะนี้ “ประธานสภาผู้แทนฯแนนซี เพโลซี”ยังไม่ยอมส่งรายงานผลการลงมติถอดถอนประธานาธิบดีทรัมป์ไปยังวุฒิสภา เพื่อให้มีการไต่สวนในวุฒิสภา โดยเธอได้ออกมาชี้แจงเรื่องนี้ว่า “เนื่องจากข้าพเจ้าเล็งเห็นว่ากระบวนการไต่สวนประธานาธิบดีทรัมป์ในวุฒิสภา คงจะไม่มีความยุติธรรมอย่างแน่นอน” และในเวลาเดียวนี้ “วุฒิสมาชิกชัค ชูเมอร์” ผู้นำสังกัดค่ายพรรคเดโมแครตก็ออกมาแสดงความไม่พอใจต่อการเล่นเกมการเมืองที่ไม่โปร่งใสขาดซึ่งความยุติธรรมของวุฒิสมาชิกแมคคอนเนลล์ เป็นที่น่าสังเกตอีกเช่นกันว่า เมื่อครั้งที่มีการลงมติถอดถอนในสภาผู้แทนราษฎรนั้น ปรากฏอย่างเด่นชัดว่าบรรดาส.ส.ทุกๆคนในค่ายพรรครีพับลิกันไม่มีแม้แต่เสียงเดียวเลยที่ออกมาคัดค้าน เท่ากับว่าพรรครีพับลิกันได้จับมือร่วมใจผนึกพลังกันอย่างเหนียวแน่น!!! กระนั้นก็ตามยังมีประเด็นร้อนที่ขณะนี้กำลังเป็นที่ถกเถียงกันอย่างหนาหูเรื่องความเหมาะสมของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ต่อตำแหน่งอันทรงเกียรติของสหรัฐฯนั่นเอง “เดวิด ทร๊อท” อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสองสมัยจากรัฐมิชิแกน สังกัดพรรครีพับลิกัน ได้ออกมาแสดงเจตนารมณ์แสดงความอัดอั้นตันใจว่า จะไม่ขอลงเลือกตั้งในปี 2020 ก็สืบเนื่องมาจากเขาอาจจะไม่ต้องการที่จะถูกประธานาธิบดีทรัมป์กล่าวโจมตีก็เป็นไปได้ และเขายังได้ส่งจดหมายไปถึงนิตยสาร “Atlantic” ซึ่งเป็นนิตยสารที่ทรงอิทธิพล โดยชี้ว่า “เมื่อวิเคราะห์ในภาพรวมทั้งสภาวะทางด้านจิตใจ ศีลธรรม และด้านความเฉลียวฉลาดแล้ว ประธานาธิบดีทรัมป์ไม่เหมาะสมต่อตำแหน่งประธานาธิบดีอันทรงเกียรติในทำเนียบขาว และสมควรอย่างยิ่งที่จะถอดถอนประธานาธิบดีทรัมป์” และนอกเหนือจากนั้นแล้วเดวิด ทร๊อทยังได้ให้สัมภาษณ์ตำหนิประธานาธิบดีทรัมป์กับหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์อย่างรุนแรงและยังป่าวประกาศสนับสนุน ไมค์ บลูมเบิร์ก อดีตนายกเทศมนตรี แห่งนครนิวยอร์กที่ได้ประกาศลงแข่งขันในนามพรรคเดโมแครตเมื่อเร็วๆนี้ จากความอึดอัดของบรรดานักการเมืองค่ายพรรครีพับลิกันที่มีต่อประธานาธิบดีทรัมป์ทำให้สมาชิกภสาผู้แทนราษฎรในพรรครีพับลิกันถึง 21 คน ตัดสินใจไม่ขอลงเลือกตั้งในปี 2020 ซึ่งนักการเมืองเหล่านี้ต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ประธานาธิบดีทรัมป์อยู่ตลอดเวลา แต่ดูเหมือนว่าเขาหาได้แคร์ไม่ กลับเอาหูทวนลมมิสนใจไยดี!!! อย่างไรก็ตามนิตยสารเก่าแก่ทรงอิทธิพลมากว่า 63 ปีของกลุ่มคริสเตียน “Christianity Today” ซึ่งมี “บิลลี เกรแฮม”เป็นผู้ก่อตั้งเมื่อปี 1956 โดยท่านเพิ่งเสียชีวิตเมื่อปีกลายอายุได้ 99 ปี โดยท่านผู้นี้มักจะถูกรับเชิญจากประธานาธิบดีของสหรัฐฯทุกๆคนในอดีตเพื่อขอกำลังใจในการทำงาน ทั้งนี้เมื่อสัปดาห์ที่แล้วปรากฏว่ากองบรรณาธิการของนิตยสารเล่มนี้ได้เขียนบทความลงในบทบรรณาธิการแถลงว่า “เป็นการสมควรอย่างยิ่งที่ประธานาธิบดีทรัมป์ผู้ที่ขาดซึ่งศีลธรรมและยังทำให้ภาพลักษณ์ของชาวคริสเตียนมัวหมองเป็นอย่างมากจะถูกถอดถอนออกจากตำแหน่งประธานาธิบดี” ทั้งนี้กลุ่มคริสเตียนนับเป็นฐานเสียงสำคัญของพรรครีพับลิกันและประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งการที่กองบรรณาธิการนิตยสารฉบับนี้จุดประกายออกมากล่าวประณามประธานาธิบดีทรัมป์เยี่ยงนี้ย่อมมีผลกระทบอย่างมหาศาล!!! โดยเมื่อประธานาธิบดีทรัมป์รับรู้ถึงข้อโจมตี เขาก็ได้ตอบโต้อย่างทันควันโดยโพสต์ลงทวิตเตอร์เหมือนเช่นดังเคยทุกๆครั้งว่า “นิตยสารเล่มนี้ตกเป็นเครื่องมือของ “วุฒิสมาชิกอลิซาเบธ วอร์เรน” และ “วุฒิสมาชิกเบอร์นี แซนเดอร์ส”ไปแล้ว” ในเวลาเดียวกันประธานาธิบดีทรัมป์ก็ยังงัดเอากลยุทธ์ต่างๆออกมากล่าวโจมตีซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นรายวันต่อผู้ที่มีแนวโน้มว่าจะได้รับเป็นตัวแทนของพรรคเดโมแครต โดยเขาอาจจะยึดหลักที่ว่าหากใครวิพากษ์วิจารณ์เขาๆก็จะโจมตีผู้นั้นเพิ่มขึ้นสิบเท่าตัวและปรากฏว่าได้ผลแทบทุกครั้ง เพราะเรื่องการโจมตีวิพากษ์วิจารณ์ผู้ที่ไม่ชอบขี้หน้าเป็นเรื่องที่เขาถนัดที่สุด จนมีผลทำให้ผู้ที่ถูกเขาโจมตีต้องยอมแพ้หลบเข้ามุมตั้งตัวแทบไม่ติด อนึ่งการที่ขณะนี้สภาวะทางด้านเศรษฐกิจของสหรัฐฯมีความแข็งแกร่ง จำนวนของคนว่างงานลดต่ำลง อีกทั้งตลาดหลักทรัพย์ก็อยู่ในช่วงขาขึ้นมาโดยตลอด ถือว่าเป็นผลบวกให้กับอนาคตทางการเมืองของประธานาธิบดีทรัมป์มากมิใช่น้อย แต่เมื่อใดก็ตามที่สภาวะทางด้านเศรษฐกิจเกิดฝืดเคืองเปลี่ยนแปลงไปในทางลบ ก็ย่อมจะสร้างปัญหาให้กับประธานาธิบดีทรัมป์ได้อย่างทันทีเช่นกัน ดังเช่นที่เคยขึ้นกับประธานาธิบดีจอร์จ เอช.ดับเบิ้ลยู.บุชผู้พ่อมาแล้วที่เคยได้รับคะแนนนิยมสูงถึง 89% หลังสงครามเปอร์เซีย และครั้งนั้นต่างคาดการณ์กันว่า เขาคงจะได้รับเลือกในสมัยที่สองได้อย่างง่ายดาย แต่เมื่อภาวะทางเศรษฐกิจเริ่มถดถอยทำให้ความหวังของเขาที่จะได้ไปต่อในสมัยที่สองกลับหายไปอย่างหมดสิ้น ซึ่งก็ยังไม่แน่ว่าอาจจะเกิดขึ้นในสมัยของประธานาธิบดีทรัมป์หรือไม่และอย่างใด!!! และเนื่องจากขณะนี้นักการเมืองพรรคเดโมแครตที่ต่างหวังจะเข้าไปเป็นตัวแทนของพรรคเหลืออยู่แค่เพียง 17 คนดังที่เห็นจากภาพ ซึ่งใครจะได้รับเลือกนั้นก็ยังคงเป็นปริศนากันอยู่ กล่าวโดยสรุปการเลือกตั้งขั้นต้นของพรรคเดโมแครตจะมีขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ถึงสี่รัฐ ซึ่งน่าจะเป็นสัญญาณบ่งชี้ได้เป็นอย่างดีว่าใครจะกลายเป็นตัวแทนของพรรคเดโมแครต โดยวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2020 จะจัดให้มีขึ้นในรัฐไอโฮวาเป็นรัฐแรก และสัปดาห์ต่อมาวันที่ 11 กุมภาพันธ์ก็จะมีการเลือกตั้งขั้นต้นที่รัฐนิวแฮมป์เชียร์, รัฐเนวาดาจะมีในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ และรัฐเซาท์แคโรไลนาจะมีขึ้นในวันที่ 29 กุมภาพันธ์ ดังนั้นผลของการเลือกตั้งขั้นต้นในสี่รัฐนี้น่าจะเป็นตัวแปรสำคัญต่อการเลือกตั้งปี 2020 ที่จะถึงนี้ ลาทีปีเก่าและสวัสดีปีใหม่ละครับ