"สาธิต" ไม่ประมาทศึกซักฟอก ขอฝ่ายค้านอย่าป้ายสี ชี้ "บิ๊กตู่" อยู่หรือไปอยู่ที่ปชช.ไม่ใช่ฝ่ายค้าน หวัง 49 อรหันต์ช่วยหาทางออกทำการเมืองไม่ลงท้องถนน เมื่อวันที่ 30 ธ.ค.นายสาธิต ปิตุเตชะ รมช.สาธารณสุข และรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้าน ที่จะมีขึ้นในปี2563 ว่า มองว่า เวทีอภิปรายไม่ไว้วางใจ เป็นกลไกเป็นหลักที่สำคัญของประชาธิปไตย และเป็นหลักการสำคัญที่ทำให้บ้านเมืองเดินหน้าต่อไปได้อย่างมีคุณภาพ เมื่อการเมืองมั่นคง การเลือกตั้งครั้งต่อๆไปจะได้มีการพัฒนาในทางบวก แต่หากการเมืองไม่มั่นคงชาวบ้านจะเบื่อหน่าย เพราะคิดว่าเสียเวลา ทุกอย่างก็ถอยหลังไปจากเดิม ดังนั้น การอภิรายที่จะเกิดขึ้นเป็นเรื่องสำคัญประชาชนจะต้องติดตาม เหมือนคนดูการทำหน้าที่ของฝ่ายค้าน ดูผู้เล่น ผู้เเสดงเองต้องเเสดงให้สมบทบาท บนพื้นฐานคุณธรรมจริยธรรม ฝ่ายค้านต้องวิพากวิจารณ์ตามข้มูลที่เป็นจริงตามกฎหมาย ไม่ใช่พูดเพื่อสนุกเอามัน ใส่ร้ายป้ายสี คนดูจะเบื่อ ส่วนรัฐบาลจะต้องตอบชี้เเจงให้ได้ทุกข้อติติง “ส่วนเมื่อการอภิปรายจบจะนำไปสู่การเปลี่ยน หรือไม่เปลี่ยนเเปลงตำแหน่งรัฐมนตรีในรัฐบาล หรือเปลี่ยนตัวนายกฯหรือไม่ สำหรับผมไม่กังวลพร้อมเต็มที่ เพราะเรื่องดังกล่าวไม่สำคัญเท่ากับเมื่อเทียบกับข้อมูลในศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ จะเป็นข้อมูลดิบสำหรับชาวบ้าน ว่าจะเลือกใครเป็นผู้เเทนของเขาในการเลือกตั้งครั้งต่อๆไป ขอให้ทุกฝ่ายทำเต็มที่สร้างสรรค์ ตนไม่ประมาท และจะเตรียมข้อมูลเต็มที่ ให้สมบทบาทที่ประชาชนไว้ใจให้ทำหน้าที่นี้ “นายสาธิต กล่าว นายสาธิต กล่าวถึงกรณีฝ่ายค้านอย่างพรรคเพื่อไทยยืนยันว่าการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ มีใบเสร็จถึงขั้นต้องไปโหวตเลือกนายกฯกันใหม่ ว่า ตนไม่แปลกใจ เพราะเป็นเรื่องที่ฝ่ายค้านต้องเชิญชวนติดตามการทำหน้าที่เขาในสภาฯ เเต่สุดท้ายอยู่ที่ข้อมูลที่จัดเตรียมมาอภิปรายจะเป็นอย่างที่บอกหรือไม่ ขอย้ำว่า การปรับเปลี่ยนตำแหน่ง หรือไม่ปรับ รวมถึงนายกฯจะอยู่ต่อหรือไม่อยู่ต่อ ประชาชาจะเป็นผู้ตัดสิน ไม่ใช่อยู่ที่ฝ่ายค้านหรือรัฐบาลเป็นคนตัดสิน นายสาธิต กล่าวถึงการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาปัญหา หลักเกณฑ์ และแนวทางการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 ว่า ในปี2563 ตนมีความหวังกับคณะกมธ.ชุดนี้ ที่ทั้ง 49 คน มาจากทุกฝ่าย ส่วนนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกมธ.ฯ เป็นคนที่มีประสบการณ์ทางการเมือง คงสามารถสร้างสมดุลได้ เชื่อว่า กมธ.จะเห็นสภาพของการเมืองไทยว่า ขณะนี้เป็นสภาพการเมืองที่ค่อนข้างเผชิญหน้า เงื่อนไขแก้รัฐธรรมนูญนั้น เเม้รัฐธรรมนูญ 2560 จะเป็นฉบับที่ทุกฝ่ายรู้ดีว่ามีล็อกอยู่หลายชั้น แต่ถ้ากมธ. มองดีๆ ร่วมกันหาช่องทางได้สำเร็จ จะเป็นทางออกของทุกฝ่ายที่ทำให้การเมืองเดินไปข้างหน้าได้ด้วยระบบของตัวประชาธิปไตยเอง และทุกฝ่ายจะมีความหวังกับกมธ.ชุดนี้ เพราะหากเดินหน้าได้สำเร็จ จะเป็นทางออกของการเมือง ที่ไม่ทำให้เกิดการเผชิญหน้า การเมืองก็ไม่ต้องลงไปบนท้องถนน ส่วนรัฐบาลก็จะบริหารงานได้อย่างราบรื่น แต่ถ้าตั้งกมธ.มาเเล้วใช้เวลา120 วัน ไปกับการวนถกเถียงด้วยข้อมูลเก่า ๆ โดยไม่มีข้อมูลใหม่ที่มองไปข้างหน้า อันนี้ก็เสียเวลาเปล่า จะทำให้ประชาชนไม่ได้มีความหวังไปด้วย