ช่วยกันคิด ช่วยกันทำ / ทหารประชาธิปไตย แม้จะเป็นที่ทราบกันดีมานับเดือนแล้ว ถึงพฤติกรรมของสหรัฐฯที่โยกย้ายทหารมะกันเข้าไปคุมบ่อน้ำมันในซีเรีย แต่สื่อกระแสหลักทั้งหลายก็ทำเพิกเฉยไม่มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่ามันถูกต้องชอบธรรมหรือเป็นไปตามกฎหมายระหว่างประเทศ หรือกฎบัตรของสหประชาชาติหรือไม่ แต่เมื่อทูตพิเศษของจีนในซีเรียออกมาตอกย้ำ ด้วยคำพูดที่ว่า “ใครให้สิทธิอเมริกันในการอยู่ที่ซีเรีย” โดยกล่าวถึงข้ออ้างของสหรัฐฯที่จะขยายกองกำลังในซีเรีย เพื่อเข้าไปปกป้องบ่อน้ำมันของซีเรียในขณะที่ซีเรียก็กล่าวว่าสหรัฐฯ “ปล้นบ่อน้ำมันในประเทศตน” มันจึงกลายเป็นข่าวใหญ่ หากท้าวความไปถึงเหตุการณ์เมื่อ 2-3 ปีมานี้ เมื่อกลุ่มก่อการร้ายไอเอส หรือดาอิช ได้มีบทบาททางทหารสูงมาก ในดินแดนตอนเหนือของซีเรียและอิรัก กลุ่มก่อการร้ายที่โหดเหี้ยมอำมหิตนี้ได้เข้ายึดครองบ่อน้ำมันในพื้นที่บริเวณดังกล่าวแถบดีแออัสซอร์ ซึ่งเมื่อยึดได้ก็มีขบวนการร่วมกับบริษัทน้ำมันบางแห่งขนส่งน้ำมันดิบผ่านเข้าแดนใต้ของตุรกี ไปส่งขายให้บริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ และสหรัฐฯโดยบริษัทดังกล่าวก็จ่ายเงินค่าน้ำมันดิบให้กลุ่มผู้ก่อการร้ายไอเอส เป็นทุนในการจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์เสบียงกรัง และการเผยแพร่ลัทธิอุบาทว์เพื่อชักจูงสมาชิกเพิ่มขึ้น ต่อมาก็มีการเปิดเผยในสื่อออนไลน์หลายสำนักว่าแท้จริงสหรัฐฯนั่นเองเป็นผู้สนับสนุนไอเอส ทั้งการฝึกและอาวุธโดยใช้เงินจากการขายน้ำมันของไอเอสนั่นเอง เรียกว่าใช้อัฐยายซื้อขนมยายกันอย่างโจ่งครึม อย่างไรก็ตามเมื่อพฤติกรรมความโหดเหี้ยมของไอเอสระบาดมากขึ้น และไม่เป็นที่ยอมรับของประชาคมโลก สหรัฐฯก็แสดงบทนักบุญโดยการส่งทหารเข้าไปในซีเรีย ด้วยการอ้างว่าเพื่อไปช่วยปราบไอเอสทั้งๆที่มิได้รับความยินยอมจากรัฐบาลซีเรีย เพราะสหรัฐฯนั้นโดยเปิดเผยก็ได้สนับสนุนกลุ่มกบฏหลายกลุ่ม รวมทั้งเคิร์ดที่พยายามล้มรัฐบาลประธานาธิบดีอัสซาดที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นเผด็จการและทำการปราบปรามประชาชน แม้กระทั่งถูกกล่าวหาจากองค์กรหมวกกันน๊อคสีขาว (White Helmet) ที่เป็นเอ็นจีโอสนับสนุนโดยตะวันตก ว่าใช้สารเคมีทำร้ายประชาชน ต่อมาความจริงก็เปิดเผยว่ากลุ่มหมวกกันน๊อคสีขาวได้สร้างคลิปปลอมเป็นการแสดงออกมาหลอกชาวโลกจนที่สุดก็ต้องถอนตัวจากการเข้าไปช่วยประชาชนชาวซีเรียแบบกำมะลอ และกลับไปฐานที่ประเทศอังกฤษ ฉะนั้นเมื่อประธานาธิบดีทรัมป์ต้องการหาเสียงทางการเมืองภายในประเทศ ก็ประกาศชัยชนะว่าได้ปราบไอเอสได้ราบคาบ และได้สังหารอัลบักดาดี ผู้นำไอเอสไปแล้ว จึงจะทำการถอนทหารออกจากซีเรีย แต่ในที่สุดก็เป็นคำลวง เพราะทหารส่วนหนึ่งถอยไปอยู่ชายแดนอิรักที่พร้อมจะเคลื่อนย้ายเข้ามาในซีเรียเมื่อไรก็ได้ กับอีกส่วนหนึ่งเคลื่อนย้ายเข้าไปยึดครองบ่อน้ำมันในซีเรีย ที่ไอเอสเคยยึดครองอยู่ และตอนนี้ได้ทำข้อตกลงกับบริษัทน้ำมันของซาอุดิอารเบีย เพื่อนำน้ำมันจากบ่อดังกล่าวไปกลั่นขาย ทั้งนี้ในตอนที่ทรัมป์ประกาศจะถอนทหารจากซีเรียนั้นก็ได้รับการคัดค้านจากฝ่ายทหาร แต่ความขัดแย้งระหว่าง 2 ขั้วก็มาลงตัวกันที่เรื่องผลประโยชน์จากน้ำมัน จากการติดตามบทบาทของสหรัฐฯ ที่ได้มีการแถลงข่าวเมื่อต้นเดือนธันวาคม โดยพล.อ.ต.อีริค ฮิล ประกาศว่าจากความสำเร็จในปฏิบัติการเมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายนนั้น กองทัพพันธมิตรนำโดยสหรัฐฯสามารถเข้าทำการยึดอาวุธและกระสุนได้จำนวนมาก รวมทั้งวัตถุระเบิกพร้อมกับจับกุมกองกำลังไอเอส ดาอิชได้ 10 กว่าคน “ตราบใดที่ดาอิช ยังมีอิทธิพลอยู่ในภูมิภาคนี้และยังเป็นภัยคุกคาม เราก็จะยังคงอยู่เพื่อปกป้องภูมิภาคนี้และมาตุภูมิของเรา” สหรัฐฯประกาศ คำถามคือสหรัฐฯใช้สิทธิอะไรในการอ้างและเจตนาแท้จริงมันคืออะไร ความมั่นคงของภูมิภาคจริงหรือ หรือน้ำมันทั้งนี้รัฐบาลซีเรียที่เป็นรัฐบาลที่ถูกต้องตามกฎหมายและผ่านการเลือกตั้งมาไม่เคยเชื้อเชิญกองกำลังสหรัฐฯให้เข้ามาในประเทศเลย และความขัดกันของข่าวสารที่สหรัฐฯเคยอ้างว่าได้ปราบปรามไอเอสจนสิ้นซากแล้ว กลับมีการให้ข่าวเมื่อเคลื่อนกำลังไปยึดบ่อน้ำมันซีเรีย ว่ามีกองกำลังไอเอส ดาอิชอยู่ ที่ผ่านมาตลอดทั้งปี ฝ่ายบริหารและทรัมป์ประกาศว่าได้จัดการปราบปรามไอเอสดาอิชจนราบคาบแล้ว โดยให้ข่าวความคืบหน้าเป็นระยะๆ ตั้งแต่ปลายปีก่อน ตอนต้นปีจนถึงวันที่ 22 ธันวาคม ปีที่แล้วก็ประกาศว่าได้ปราบไอเอสจนรายคาบ และสังหารหัวหน้าใหญ่ได้แล้ว ขนาดทรัมป์ออกมาให้รายละเอียดว่า อัลบัคดาดี ครางเหมือนหมาก่อนสิ้นชีวิต และเพิ่มเติมว่าส่วนที่เหลือก็ไม่ยากที่จะกำจัด พอเดือนกุมภาพันธ์ประกาศว่ากำจัดได้ 100% แล้ว แต่พอเดือนมีนาคม ทรัมป์กลับออกมาเผยแพร่แผนที่เขตยึดครองของไอเอสดาอิช และทำให้สหรัฐฯต้องคงกำลังเอาไว้ในซีเรียเพื่อคอยปราบปรามไอเอสดาอิช ด้วยเหตุดังกล่าวจึงเป็นที่ประจักษ์โดยชัดเจนว่าทรัมป์และฝ่ายบริหารต้องการหาเสียงว่าจัดการไอเอสได้แล้ว และจะถอนทหาร แต่ฝ่ายทหารต้องการคงกองกำลังอยู่ เพราะมีผลประโยชน์ทับซ้อน ที่ผ่านมาทรัมป์ต้องการประกาศให้รับรู้ว่าต้องการถอนทหารออกจากภูมิภาคตะวันออกกลาง และอาจจะขยายขอบเขตออกไปถึงการถอนทหารออกจากต่างประเทศ เพื่อยุติสงครามที่ไม่มีวันจบ จนถึงกับแถลงใน Union League of Philadelphia เมื่อเดือนกันยายน 2016 แต่ฝ่ายทหารก็เพิกเฉยต่อความต้องการของทรัมป์และฝ่ายการเมือง เพราะตราบใดที่ยังมีสงครามนอกประเทศ ก็หมายถึงงบประมาณจำนวนมหาศาลที่ฝ่ายทหารได้รับ จนอาจมีการเบียดบังสร้างผลประโยชน์แก่พวกนายพลทั้งหลายได้ ฝ่ายทหารจึงต้องเล่นละครปราบไอเอสดาอิชต่อไป เพื่อหาเหตุคงทหารอยู่ที่นี่ แต่ผู้ที่ถูกสังหารจะเป็นประชาชนผู้บริสุทธิ์ หรือกลุ่มก่อการร้ายไอเอส หรือไม่ก็เป็นการแถลงฝ่ายเดียวของฝ่ายทหารเท่านั้น ความจริงที่เป็นที่ทราบกันดีก็คือในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของซีเรียนั้น ประกอบด้วย “ชนเผ่า” และ “ขุนศึก” จำนวนมากที่มีกองกำลังของตนเอง จึงไม่มีความจำเป็นต้องพึ่งพากองกำลังของสหรัฐฯ ยิ่งไปกว่านั้นในขณะนี้รัฐบาลซีเรียโดยการสนับสนุนของรัสเซีย ก็เริ่มขยายขอบเขตอำนาจของตนเข้ามาในบริเวณนี้มากขึ้น ภายหลังจากที่ตุรกีได้ทำการถล่มบริเวณชายแดนและเขตปลอดกองกำลังเคิร์ด 30 กิโลเมตร พร้อมกับสนับสนุนฝ่ายกบฏที่ตนสนับสนุน ยิ่งตอกย้ำว่าในบริเวณนี้ไม่มีความจำเป็นต้องมีกองกำลังสหรัฐฯเลย หลักฐานเชิงประจักษ์ที่ยืนยันได้ก็คือพื้นที่ภาคเหนือของซีเรียนั้น มีบ่อน้ำมัน 2 ใน 3 ของซีเรีย ดังนั้นจึงเป็นที่ชัดเจนว่าสหรัฐฯได้ข้อตกลงร่วมระหว่างฝ่ายการเมืองและฝ่ายทหารก็ตรงที่ผลประโยชน์จากน้ำมันนี่เอง