เพจเฟซบุ๊ค"Peace News"ได้ลงโพสต์ข้อความข่าว นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.)ที่ว่า​ เชื่อ รบ.ขัดแย้งพร้อมสะบัดมือหนี เย้ยเพลง“จับมือกันไว้”ชี้มีปัญหา “จตุพร”เตือนรัฐบาลระวังลากบ้านเมืองเข้า“โมเดล 2519” ก่อหายนะประเทศชาติ ลั่นถ้าไม่หนุนรณรงค์“ชังชาติ”ขอสั่งพรรคร่วม รบ.หยุดเคลื่อนไหว ยันนายกฯร้องเพลง “จับมือกันไว้”สะท้อนเสถียรภาพรัฐบาลมีปัญหา เกิดความขัดแย้งระหว่างพรรคร่วมขึ้น เย้ยปิดกันไม่มิด แนะ อนค.จัดเฟลชม็อบได้แค่ระยะสั้นๆ นานไปมวลชนไม่ยอมกลับจะทำอย่างไง ชี้การชุมนุมต้องเตรียมความพร้อมเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อขจัดการแทรกซ้อน และบางฝ่ายเข้าผสมโรงทำลาย เมื่อ 22 ธ.ค. 2562 นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวถึงปรากฎการณ์บ้านเมือง โดยวิเคราะห์เชื่อมโยงการจัดกิจกรรม 2 ฝ่ายจะเกิดการขัดแย้งและส่อสัญญาณจะลุกลามเป็นความขัดแย้ง ทำให้สังคมแตกแยกอย่างน่าเป็นห่วง นายจตุพร ยกกิจกรรม 2 ฝ่าย คือฝ่ายกลุ่มนักศึกษาจัด“วิ่งไล่ลุง” แต่อีกฝ่ายจัด “วิ่งเชียร์ลุง” และ พรรคอนาคตใหม่ (อนค.) เคลื่อนไหวต่างๆรวมทั้งชุมนุมแบบแฟลชม็อบ (flash mob - การรวมตัวของกลุ่มคนในสถานที่หนึ่งอย่างฉับพลัน) กับฝ่ายพรรคร่วมรัฐบาลตั้งเวทีรณรงค์ปลุกพลังต่อต้าน“ชังชาติ” โดยกิจกรรมของ 2 ฝ่าย มีลักษณะเนื้อหาขัดแย้งกัน และที่สำคัญล้วนเป็น “โมเดล 2519” ซึ่งเกิดจากการคลั่งอำนาจ จนทำให้กลไกรัฐตื่นกลัวเกินกว่าเหตุ "โรคคลั่งอำนาจจะไม่ยอมให้ใครไปแสดงความเห็นแตกต่างกัน แล้วมองทุกอย่างเป็นศัตรู และท้ายที่สุดเรื่องเล็กจะกลายเป็นเรื่องใหญ่" นายจตุพร กล่าวว่า การตั้งเวทีของนายแพทย์วรงค์ เดชกิจวิกรม ซีอีโอพรรครวมพลังประชาชาติไทย และมีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ผู้ก่อตั้งพรรครวมพลังประชาชาติไทย เดินสายไปพูดด้วยนั้น เป็นภาระกิจต่อต้านพวกชังชาติ โดยอธิบายความว่าเป็นพวกพรรคอนาคตใหม่ อีกทั้งก่อนสิ้นปี 2562 ตั้งถึง 6 เวที ดังนั้น จึงเป็นขบวนการบ่มเพาะรอเวลา ถ้ากลไกรัฐเข้ามาผสมโรงด้วยปัญหาเรื่องคนจะไม่เป็นปัญหาอีกต่อไป อย่างไรก็ตาม ทั้ง 2 เหตุการณ์ คือ วิ่งไล่กับวิ่งเชียร์ และอนค.กับขบวนการต่อต้านชังชาตินั้น ถ้ารัฐบาลและพรรคร่วมรัฐบาลไม่เข้าไปเกี่ยวข้อง ปัญหาจะไม่เกิดขึ้น แต่ถ้าไปผสมโรงกล่าวหาแล้วจะกลายเป็นเรื่องใหญ่และยกระดับให้ทวีความรุนแรงขึ้นอีก "ถ้ารัฐบาลไม่เห็นด้วยก็ต้องบอกให้เขาหยุด เพราะปรากฎการณ์ก่อนเกิดเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 นั้น ไม่ว่าจะเป็นวิทยุยานเกราะ กลุ่มแม่บ้านทหารบก กระทิงแดง ลูกเสือชาวบ้าน ได้ปลุกคนว่านักศึกษาชุมนุมที่ธรรมศาสตร์เป็นพวกคนญวน พวกขายชาติ ในธรรมศาสตร์มีอุโมงค์ เป็นคอมมิวนิสต์ จึงต้องกำจัดคนเหล่านี้ เพื่อบ่มความชิงชังให้คนคลั่งกัน" นายจตุพร กล่าวว่า สิทธิแสดงออกของประชาชนเป็นเรื่องปกติ เพียงแต่ฝ่ายรัฐต้องไม่มองว่า สิ่งที่ไม่เห็นด้วยต้องกำจัด คนที่คลั่งอำนาจมักต้องการฟังในสิ่งที่ตัวเองอยากจะฟัง จึงเกิดการสอพลอในสิ่งที่อำนาจต้องการจะฟัง และพูดในสิ่งที่เขาต้องการจะฟัง แล้วจะพังกันทุกราย "ผมไม่มีอะไรเลย วันนี้ผมยังอยู่ในบทของคนวิเคราะห์การเมือง เพราะทัพของพวกเรา (นปช.) อยู่ในสภาพเป็นนักรบบาดเจ็บกันทั้งสิ้น แต่ไม่ใช่เป็นความกลัว และต้องการจะพูดเพื่อจะบอกว่า ในสถานการณ์นี้ ผมต้องการสื่อสารไปยังรัฐบาล ว่าต้องยุติการสนับสนุนพรรคการเมืองพรรคร่วมรัฐบาลไปตั้งเวทีที่ก่อให้เกิดความชิงชัง เพราะเมื่อชิงชังแล้ว คนจะไม่สนใจเหตุผล" นายจตุพร ยกเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 เป็นอุทาหรณ์การปลุกคนให้เกิดความชิงชังขึ้น จนล้อมปราบ นักศึกษาในธรรมศาสตร์ จับแขวนคอใต้ต้นมะขามสนามหลวงแล้วตีด้วยเก้าอี้ และลากมาเผาทั้งเป็น ปรากฎการณ์เช่นนี้ ล้วนเกิดขึ้นจากการปลุกด้วยลัทธิชังชาติ จนเกิดชิงชังและลุกลามเป็นความแตกแยกขึ้นในสังคมทั้งนั้น "เหตุการณ์ (ปลุกคนต่อต้านคนชังชาติ) ที่กำลังเดินกันอยู่ในขณะนี้ จะลุกลามมากกว่าการต่อสู้เมื่อง 10 กว่าปีที่ผ่านมา คือ กำลังจะทำให้เป็น 6 ตุลาโมเดล จะเกิดการชิงชังชนิดยากที่จะเยียวยา นำพาไปสู่ความสูญเสียมากมาย ผมอยากให้เสียงนี้ได้ยินไปถึงรัฐบาล หยุดเถอะครับ อย่าได้ไปกระทำการอย่างนั้น ไม่ใช่ว่ากลัวรัฐบาลจะทำสำเร็จ เพราะมันไม่ใช่ความสำเร็จ แต่เป็นความหายนะของชาติ" อีกทั้ง นายจตุพร กล่าวถึงเสถียรภาพรัฐบาลว่า พรรคร่วมรัฐบาลล้วนมีปัญหาระหว่างกัน และในรัฐบาลยังมีปัญหาของกันและกันด้วย ในรัฐบาลเกิดสงครามตัวแทน ก่อความขัดแย้งกัน ซึ่งไม่รู้จะอยู่กันได้นานแค่ไหน ส่วนพรรคแกนนำรัฐบาลต้องเพิ่มกรรมการบริหารพรรค ต้องเปลี่ยนโลโก้ อันสะท้อนถึงความวิตก และมีปัญหาเกิดขึ้น "นายกฯยังร่วมร้องเพลง “จับมือกันไว้” 2 วันติดต่อกัน สะท้อนว่ามีปัญหากันชัดเจน หน้ากระดานการเมืองแบบนี้มองกันออก เห็นกันชัด เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นจึงต้องนำมาอธิบายให้จับมือกันไว้ เพราะแต่ละคนพร้อมสะบัดมือกันเมื่อถึงเวลา" นายจตุพร กล่าวว่า ประชาชนอย่าวิตก ต่อเสียงฝ่ายค้านหายไป 4 เสียงจากงูเห่า เพราะการที่รัฐบาลอยู่ได้หรือไม่นั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับจำนวนเสียง หากรัฐบาลยังคงไร้ความชอบธรรม แก้ปัญหาเศรษฐกิจไม่ได้ ไม่ว่ารัฐบาลจะจัดงานเลี้ยงกี่รอบ ก็แก้ปัญหาชาติ ปัญหาความขัดแย้งระหว่างพรรคร่วมไม่ได้ "เหตุการณ์บ้านเมืองต้องติดตามกันอย่างใกล้ชิด ผมยังอยู่ในบทนักวิเคราะห์การเมืองด้วยความอดทน พยายามส่งเสียงให้สติฝ่ายรัฐบาล" นายจตุพร ย้ำถึงพรรคอนาคตใหม่จัดเฟลชม็อบว่า การจัดชุมนุมแบบนี้อาจจัดได้ 1-2 ครั้ง แต่ครั้งที่ 3-4 แล้ว คนจะไม่ยอมกลับ เพราะนานเข้าการต่อสู้นั้น มวลชนจะก้าวหน้ามากกว่าแกนนำเสมอ ดังนั้นจะไม่ง่าย "การชุมนุมที่ยื้อเยื้อยาวนานนั้น ถ้าไม่มีการจัดตั้งประชาชนอย่างเป็นระบบแล้ว จะยากที่สุด (เน้นเสียง) แม้จัดระบบกันได้ เมื่อเกิดโรคแทรกซ้อน บวกกับถูกปิดล้อมทุกวิถีทาง ถึงจะตั้งใจสันติวิธี แต่ก็ถูกทำลายเพื่อจะใช้เป็นเหตุผลการล้อมปราบ" นายจตุพร ย้ำประสบการณ์จัดชุมนุมทางการเมืองว่า ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีบทเรียนมาทั้งหมด เราไม่เคยคิดว่าจะเกิดการสูญเสีย และไม่ใช่เรื่องของความกลัว แต่เป็นเรื่องของความจริงว่า ถ้าจะเลือกหนทางใด ต้องมีความพร้อม "ปรากฎการณ์แบบเดิมได้ครั้งสองครั้ง ถ้าครั้งที่สามประชาชนไม่กลับบ้านจะว่าอย่างไง ดังนั้น สิ่งสำคัญคือการเตรียมความพร้อม และฝ่ายรัฐต้องไม่เข้าไปร่วมสร้างสถานการณ์ แต่ดูแลไม่ให้มือที่สาม เท้าที่สี่เข้ามาผสมโรง" รวมทั้งทิ้งท้ายว่า ถ้าฝ่ายรัฐเข้ามาเป็นคู่ขัดแย้ง หรือผสมโรงด้วยเมื่อไร จะเริ่มพังตั้งแต่วิ่งไล่ลุงกับวิ่งเชียร์ลุง พร้อมกับการปลุกลัทธิชังชาติขึ้นมา ก็จะลุกลามรวดเร็วขึ้น PEACE NEWS ติดตามPEACE NEWS ผ่านช่องทาง SOCIAL MEDIA ได้ที่ -------------------------------------------------------- Youtube : https://www.youtube.com/user/thaipeacetv Line@ : https://line.me/R/ti/p/%40xin4263v Twitter : https://twitter.com/PeacenewsThai?lang=th Peace News Page : https://www.facebook.com/PeaceNewsOfficial Google+ : https://plus.google.com/u/0/+PEACETVTHAI