ศึกพรีเมียร์ลีกอังกฤษ เมื่อฤดูกาล 2018-19 “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ได้พบกับประสบการณ์ทั้งผิดหวัง และดีใจ โดยพวกเขาต้องน้ำตาซึมเมื่อพลาดแชมป์พรีเมียร์ลีก เพราะโดน “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้ โกงความตายฉกแต้มเหนือกว่า “หงส์แดง” ได้เพียงแค่ 1 คะแนน แต่เพียงไม่กี่สัปดาห์ สาวก“เดอะ ค็อป”ก็ได้ยิ้มระรื่นเริงร่าเพราะ ได้ชูโทรฟี่ “ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก” เป็นสมัยที่ 6 ความสำเร็จครั้งนี้ นับเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่มากสำหรับ “เดอะค็อป” ทั่วโลก เพราะเป็นแชมป์แรกในรอบ 7 ปีของสโมสร และได้กลับมาเป็นแชมป์รายการใหญ่อีกครั้ง หลังจากห่างหายมาอย่างยาวนานถึง 14 ปี รวมถึงยังเป็นแชมป์แรกภายใต้การคุมทีมของ “เจอร์เกน คล็อปป์” ยอดผู้จัดการชาวเยอรมันคนนี้อีกด้วย นับตั้งแต่เข้ามาคุมทีมเมื่อปี 2015 ซึ่งเขาทำได้แค่เกือบหลังพาทีมเข้าชิงถึง 3 รายการ (ลีกคัพและยูโรปาลีกในปี 2015-2016 และยูฟ่า แชมเปียนลีก 2017-2018) เพราะทำได้ดีที่สุดคือการเป็น “รองแชมป์” เท่านั้น แน่นอนว่า ความฝันที่จะได้เห็น “เดอะ เรดส์” ชูถ้วยแชมป์ลีกสูงสุดเป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 3 ทศวรรษ ต้องสลาย ทั้งๆ ที่แพ้เพียงแค่นัดเดียว จาก 38 นัดแถมเสียแค่ 22 ประตูเท่านั้น และได้ 97 แต้ม ซึ่งถือเป็นสถิติที่พวกเขากลายเป็นทีมรองแชมป์ที่ได้แต้มมากที่สุดในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีก และยังเป็นสถิติรองแชมป์ที่ทำแต้มสูงที่สุดใน 5 ลีกหลักของยุโรปนับตั้งแต่ปี 1993 โดยทีมที่ครองสถิติก่อนหน้านี้ เรอัล มาดริด (สเปน) ที่ทำไป 96 แต้ม ในฤดูกาล 2009-2010 ส่วนพรีเมียร์ลีก เป็นของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กับ 89 แต้มในฤดูกาล 2011-2012 มาถึงฤดูกาลล่าสุด 2019 – 2020 ทีมของกุนซือ “เจอร์เกน คล็อปป์” ยังคงดูน่ากลัว แม้ว่าจะไม่ค่อยได้เสริมทัพเหมือนบิ๊กทีมก็ตาม หลายคนอาจมองว่าการที่ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล มีผลงานไม่โดดเด่นในช่วงอุ่นเครื่องปรีซีซั่น และไม่มีการลงทุนมากนัก อาจจะทำให้พวกเขาต้องพบกับความยากลำบากในการเบียดแย่งแชมป์กับทีมระดับท็อปซิกซ์ อย่างไรก็ตาม หากมองด้วยความเป็นกลาง “เดอะ เร้ดส์” ยังมีคุณสมบัติสำคัญ ที่จะทำให้พวกเขาประสบความสำเร็จ ในลีกได้ ในขณะที่ความสนใจของแฟนบอลกำลังโฟกัสไปที่การลุ้นแชมป์ของ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล รวมถึงผลงานลุ่มๆ ดอนๆ ของ “ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดของกุนซือ “โอเล กุนนาร์ โซลชาร์” ที่ยังไม่แน่นอน แต่อีกหนึ่งมุมที่น่าสนใจในตอนนี้ คือ ฟอร์มของ “สุนัขจิ้งจอก” เลสเตอร์ ซิตี ของ “เบรนแดน ร็อดเจอร์ส” ที่กำลังทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม แข่ง 17 นัด มีแต้ม 39 ตามหลังจ่าฝูง “หงส์แดง” 10 แต้ม และดูจากสถิติรวมทั้งรายละเอียดต่างๆ ของทีมจิ้งจอกสยาม โดยเทียบกับฤดูกาล 2015-2016 ที่พวกเขาได้สร้างประวัติศาสตร์บทใหม่คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกครั้งแรกของสโมสรแล้ว คงต้องบอกว่า “เลสเตอร์” กลายเป็นม้ามืดที่พร้อมสอดแทรกแย่งตำแหน่งแชมป์กับ “ลิเวอร์พูล”และ “แมนเชสเตอร์ ซิตี” อย่างไม่อายปาก โดยหนึ่งในฟอร์มอันยอดเยี่ยมนี้ ต้องยกเครดิตให้กับหัวหอกฟอร์มร้อนแรง “เจมี วาร์ดี” ที่ทำสถิติเปลี่ยนโอกาสเป็นประตู มีค่าเปอร์เซ็นต์สูงสุดในพรีเมียร์ลีก 41.38 เปอร์เซ็นต์ โดยกองหน้าชาวอังกฤษวัย 32 ปี ทำไปแล้ว 16 ประตู ขึ้นแท่นดาวซัลโวอยู่ในตอนนี้ แม้การเสีย “แฮร์รี แมกไกวร์” ปราการหลังค่าตัวแพงที่สุดในโลกที่ย้ายไปอยู่กับ “แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด” ด้วยค่าตัวมหาศาล 80 ล้านปอนด์ แต่ดูเหมือนจะไม่ส่งผลต่อเกมรับของทีมเลยแม้แต่น้อย โดยมี “จอนนี อีแวนส์, คากลาร์ โซยุนคู”เป็นคู่เซ็นเตอร์ ที่ลงตัวเสียประตูน้อยที่สุดในลีก “อลัน เชียเรอร์” ยอดตำนานดาวยิงทีมชาติอังกฤษยกให้ กล่าวว่า “ใช่แล้ว” พวกเขาคือทีมลุ้นแชมป์ เพราะแต่ละสัปดาห์ที่ผ่านไปพอพวกเขาทำผลงานได้ดีเราจะเห็นผู้จัดการทีมและผู้เล่นของพวกเขาพูดอยู่เรื่อยว่า “ ไม่ เราไม่มีโอกาสลุ้นแชมป์” แต่ยิ่งพวกเขาพูดแบบนั้น หรือยิ่งใครก็ตามบอกแบบนั้นไปเรื่อย ๆ พวกเขาก็จะค่อย ๆ ก้าวไป และใช่เลยมันคือการได้ลุ้นแชมป์ ลองย้อนกลับไปนึกดูสิว่าทีมไหนที่เราเคยคิดว่าน่าจะอยู่ในกลุ่มลุ้นแชมป์ตอนก่อนเปิดซีซั่น สเปอร์ส ? ตอนนี้ เลสเตอร์ ดีกว่า สเปอร์ส หรือเปล่า ? แน่นอน อาร์เซนอล ? แน่นอน เชลซี ? บางทีอาจจะมองได้ว่าสูสีกันตอนนี้ มีไม่กี่คนหรอกที่คิดว่า เลสเตอร์ ดีพอที่จะอยู่ในกลุ่มท็อป 4 แต่ทีม เลสเตอร์ ชุดนี้พิสูจน์ให้เห็นว่าพวกเขาทำได้” ขณะเดียวกัน “แกรี ลินิเกอร์” อีกหนึ่งยอดตำนานดาวยิงทีมชาติอังกฤษอีกคน ได้โพสต์ทวิตเตอร์ถึง “เลสเตอร์” โดยบอกว่าทีมชุดนี้ของ “เบรนแดน ร็อดเจอร์ส” น่าจะดีกว่าทีมชุดที่คว้าแชมป์เมื่อปี 2016 ด้วยซ้ำ ส่วน “เป๊ป กวาร์ดิโอลา” ผู้จัดการทีม “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี กล่าวยอมรับถึงการลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ฤดูกาลนี้ของต้นสังกัดนั้นจบลงแล้ว หลังตามหลัง ลิเวอร์พูลถึง 14แต้ม “การลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกมันจบแล้ว ไม่มีใครเปิดโอกาสให้เรา อย่างที่ทุกคนบอกแหละว่าเราหมดสิทธิ์แล้ว พูดตรงๆ นะ ด้วยช่องว่างระหว่างเรากับลิเวอร์พูล มันคงจะบ้าไปหน่อยถ้าเราจะคิดเรื่องคว้าแชมป์ เราทำได้แค่คิดเกี่ยวกับผลงานของตัวเองและเกมต่อๆ ไป” ไม่ว่าสุดท้ายใครจะเป็นฝ่ายได้ชูโทรฟี่แชมป์พรีเมียร์ลีกอันยิ่งใหญ่ในซีซั่นนี้ จะถูกจารึกเข้าไปอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์วงการลูกหนังเมืองผู้ดี รวมถึงความทรงจำของแฟนบอลทั้งโลกว่า นี่เป็นฤดูกาลที่เต็มไปด้วยความสนุก ระทึก และได้ลุ้นจนถึงวินาทีสุดท้าย สมกับคำที่ว่า “พรีเมียร์ลีก คือลีกฟุตบอลที่ดีที่สุดในโลก” อย่างแท้จริง และ “มันจบลงแล้ว” ….แฟนๆ “เดอะคอป” เห็นตรงกันป่ะ