“ชาญชัย” เผยข้อมูล ชี้กรมสรรพากร สามารถออกหมายเรียกใหม่ได้ ยัน เป็นเงินคนละส่วนกับบึดทรัพย์ 4.6 หมืน ลบ. นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีตส.ส.นครนายก พรรคประชาธิปัตย์ แถลงข่าวเปิดหลักฐานใหม่กรณีการเก็บภาษีหุ้นชินคอร์ปเพื่อยืนยันว่ากรมสรรพากรรับทราบมาโดยตลอดว่าสามารถออกหมายเรียกฉบับใหม่ในกรณีภาษีหุ้นชินคอร์ปของนายพานทองแท้ ชินวัตรและน.ส.พิณทองทา ชินวัตร จำนวน 1.6 หมื่นล้านบาท ในกรณีที่หมายเรียกเก็บภาษีเดิมยังไม่ครอบคลุม โดยนายชาญชัยกล่าวว่าที่ผ่านมานายประสงค์ พูนธเรศ อธิบดีกรมสรรพากรคนปัจจุบัน เคยไปให้การไว้ในการพิจารณาคดีของศาลภาษีอากรกลาง ที่มีคำพิพากษาในปี 2553 ว่า ไม่สามารถเรียกเก็บภาษีจากบุคคลทั้งสองได้เนื่องจากไม่ใช่เจ้าของหุ้นตัวจริงตามคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่ระบุว่า เจ้าของหุ้นตัวจริงคือ นายทักษิณ ชินวัตร นายชาญชัย กล่าวต่อว่า อธิบดีกรมสรรพากรได้ไปให้การในครั้งนั้น ในฐานะเป็นพยานของนายพานทองแท้และน.ส.พิณทองทา ว่า “ในการออกหมายเรียกตรวจสอบภาษีนั้นถ้าการออกหมายเรียกเดิมยังไม่ครอบคลุมทุกประเด็นที่จะต้องตรวจสอบก็สามารถยกเลิกหมายเรียกเดิมและออกหมายเรียกฉบับใหม่เพื่อให้ครอบคลุมทุกประเด็นที่จะทำการตรวจสอบได้ ทั้งนี้การเสียภาษีตามแหล่งเงินได้ตามมาตรา 41 วรรคหนึ่ง แห่งประมวลรัษฎากรนั้นนอกจากจะรวมถึงเงินได้เนื่องจากหน้าที่งาน หรือกิจการที่ทำให้ประเทศไทยด้วย และกรณีแหล่งเงินได้ที่เกิดขึ้นในต่างประเทศก็รวมถึงเงินได้ที่เกิดจากทรัพย์สินที่อยู่ในต่างประเทศด้วย ตามมาตรา 41 วรรคสองในส่วนของหุ้นบริษัทชินคอร์ปเป็นทรัพย์สินที่อยู่ในประเทศไทย กรณีทรัพย์สินที่อยู่ในประเทศแต่มีการทำสัญญาซื้อขายกันในต่างประเทศนั้นถือว่าเป็นเงินได้ จากการซื้อขายทรัพย์สินดังกล่าวเป็นแหล่งเงินได้ในประเทศ ซึ่งข้อความเหล่านี้ล้วนเป็นคำพูดของนายประสงค์ ที่เคยให้การไว้ต่อศาลภาษีอากรกลางเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2553 ทั้งสิ้น อดีตส.ส.นครนายก พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า จากข้อมูลดังกล่าวแสดงให้เห็นว่ากรมสรรพากรรู้ตลอดเวลาว่าสามารถออกหมายเรียกใหม่ได้ ซึ่งหากมีการดำเนินการทันทีหลังศาลภาษีอากรกลางมีคำพิพากษาก็จะไม่เกิดปัญหาที่มาถกเถียงกันว่าออกหมายเรียกนายทักษิณ ไม่ได้เพราะหมดอายุความไปแล้ว อย่างไรก็ตามยืนยันว่าการเรียกเก็บภาษีก้อนดังกล่าวเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว และขอให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ที่กำลังดำเนินการเรื่องนี้ ส่วนที่ฝ่ายนายทักษิณ ออกมาอ้างว่าไม่สามารถเรียกเก็บภาษีได้เพราะเป็นเงินก้อนเดียวกับที่ถูกศาลฎีกาฯยึดทรัพย์นั้น ไม่เป็นความจริง เนื่องจากในคำพิพากษาศาลฎีกาฯระบุชัดเจนว่า การเรียกเก็บเงินภาษีตามประมวลรัษฎากรจากการขายหุ้นนั้นต้องเก็บแยกจากกรณีการยึดอายัดทรัพย์ เพราะถือเป็นคนละส่วนกัน นายชาญชัยกล่าวต่อว่านอกจากนี้ยังมีคำพิพากษาศาลอาญาที่ตัดสินจำคุกนางเบญจา หลุยเจริญ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ขณะดำรงตำแหน่งรองอธิบดีกรมสรรพากรและพวกรวม 4 คน ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ มีคำวินิจฉัยเอื้อประโยชน์ให้กับนายพานทองแท้และน.ส.พิณทองทา ว่าไม่ต้องชำระภาษีจากการซื้อหุ้นชินคอร์ปราคา 1 บาท จากแอมเพิลริชแล้วไปขายให้กับเทมาเส็กในราคา 49.25 บาทตามราคาตลาดหลักทรัพย์ ทั้ง ๆ ที่เป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 61 ประมวลรัษฎากร