เปิดเหตุผล ศาลอุทธรณ์ภาค7 เชื่อเปรมชัยร่วมล่าเสือดำ “ธานี”จ.4 เป็นมือพิฆาตด้าน”ประยุทธ”รองโฆษกอสส.เผยเหตุเพิ่มโทษเปรมชัยกับพวก จากอัยการศาลสูงภาค7 ยื่นอุทธรณ์ไป เตรียมคัดสำเนาพิจารณาฎีกาต่ออีกหรือไม่ เมื่อวันที่ 12 ธ.ค.นายประยุทธ เพชรคุณ รอง โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด ได้กล่าวภายหลังศาลมีคำพิพากษาเเก้เพิ่มโทษจำคุก นายเปรมชัย กรรณสูต ประธานบริหารและกรรมการ บริษัทอิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน), นายยงค์ โดดเครือ, นางนที เรียมแสน และ นายธานี ทุมมาศ รวม 4คน ในคดีล่าสัตว์ป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ว่าคดีนี้ พนักงานอัยการจังหวัดทองผาภูมิฟ้องนายเปรมชัย จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นจำเลยคนสำคัญที่ประชาชนให้ความสนใจ จำนวน 5 ข้อหาคือร่วมกันพาอาวุธปืนไปในเมืองหมู่บ้านและทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต, ร่วมกันล่าสัตว์ป่าคุ้มครองในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าคุ้มครองฯ, ร่วมกันล่าสัตว์ป่าคุ้มครองร่วมกันมีซากสัตว์ป่าคุ้มครอง (ไก่ฟ้าหลังเทาและเสื้อผ้า) และเก็บหาของป่าในเขตป่าสงวนแห่งชาติต่อมาเมื่อวันที่ 19 มีนาคม 62 ศาลจังหวัดทองผาภูมิมีคำพิพากษาจำคุกนายเปรมชัย 3 กระทงดังนี้ 1.ร่วมกันพาอาวุธปืนไปในเมืองหมู่บ้านและทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตจำคุก 6 เดือน 2.สนับสนุนในการล่าเสือดำจำคุก 8 เดือน 3.ร่วมกันมีซากไก่ฟ้าหลังเทาจำคุก 2 เดือนรวมจำคุกนายเปรมชัย 16 เดือนส่วนข้อหาอื่นศาลจังหวัดทองผาภูมิยกฟ้อง ต่อมาสำนักงานอัยการศาลสูงภาค 7 พิจารณาเเล้วจึงได้ยื่น อุทธรณ์คำพิพากษาของศาลจังหวัดทองผาภูมิต่อศาลอุทธรณ์ภาค 7 และวันนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 7 ได้มีคำพิพากษาตามที่อัยการศาลสูงภาค 7 อุทธรณ์โดยมีคำพิพากษาให้ลงโทษนายเปรมชัย จำเลยที่ 1 ดังนี้ 1.ฐานร่วมกันล่าสัตว์ป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า(เสือดำ)จำคุก 1 ปี (เดิมศาลจังหวัดทองผาภูมิลงโทษฐานสนับสนุนจำคุก 8 เดือน) 2.ฐานร่วมกันทำให้เสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติจำคุกจำเลยทั้ง4 คนละ 1ปี (ข้อหานี้ศาลจังหวัดทองผาภูมิยกฟ้อง) 3.ฐานร่วมกันมีไว้ในครอบครองซึ่งซากสัตว์ป่าคุ้มครอง (เสือดำ) โดยไม่ได้รับอนุญาตจำคุก 6 เดือน (เดิมศาลจังหวัดทองผาภูมิลงโทษ 2เดือน) ๔. ฐานร่วมกันมีไว้ในครอบครองซึ่งซากสัตว์ป่าคุ้มครอง (ไก่ฟ้าหลังเทา) โดยไม่ได้รับอนุญาตจำคุก 6 เดือน 5.ฐานร่วมกันพาอาวุธปืนไปในเมืองหมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตจำคุก 6 เดือน(คงเดิม) รวมจำคุก 2ปี14 เดือน โดยขั้นตอนปฏิบัติของสำนักงานอัยการสูงสุดต่อไปคือพนักงานอัยการสำนักงานอัยการจังหวัดทองผาภูมิจะดำเนินการขอคัดถ่ายคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 7 ส่งให้สำนักงานอัยการศาลสูงภาค 7 เพื่อพิจารณาต่อไปโดยกฎหมายกำหนดหลักเกณฑ์ว่าหากฝ่ายใดจะฎีกาคัดค้านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ต้องยื่นฎีกาภายใน 1 เดือนนับตั้งแต่วันที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7มีคำพิพากษา ผู้สื่อข่าวรายงานว่าสำหรับคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 7 มีความยาว 61 หน้า โดยประเด็นสำคัญที่ศาลลงโทษนายเปรมชัยในความผิดฐาน ร่วมกันล่าสัตว์ป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์(เสือดำ) กับ นายยงค์ โดดเครือ และ นายธานี ทุมมาศ ผู้ลงมือฆ่า ซึ่งเดิมศาลชั้นต้นเห็นเเค่ว่าเป็นผู้สนับสนุน เเต่ศาลอุทธรณ์เเผนกคดีสิ่งเเวดล้อมภาค7 ได้พิจารณาดังนี้ “เมื่อพิจารณาตามภาพถ่ายหมายจ. 36 จะเห็นได้ว่าบริเวณนั้นน้ำเริ่มแห้งสัตว์ต่าง ๆ ย่อมจะต้องมาหาแหล่งน้ำเพื่อดื่มกินพวกพรานป่าที่ล่าสัตว์ย่อมทราบดีว่าหากจะไปล่าสัตว์ก็ต้องไปคอยที่แหล่งน้ำซึ่งสัตว์ป่าไปดื่มกินโดยไม่ต้องเดินเข้าไปในป่าส่วนอื่นให้เสียเวลา การที่จำเลยที่ 1 กับพวกตั้งแคมป์ในจุดดังกล่าวนอกจากจะไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของนายวิเชียรแล้วยังเป็นข้อบ่งชี้ให้เห็นได้ว่ามีความตั้งใจจะตั้งแคมป์ให้ใกล้กับจุดซึ่งเป็นแหล่งน้ำที่สัตว์ป่าจะต้องมาดื่มกินน้ำซึ่งเป็นการง่ายและสะดวกในการจะได้พบเจอสัตว์ป่า นอกจากนี้ของกลางที่ยึดได้ยังมีคันเบ็ด ธงไม้ไผ่ความยาวประมาณ 2 เซนติเมตรอีก 15 คัน ซึ่งใช้ปักริมน้ำสวิงซ้อนปลา 1อันเบ็ดตกปล้ำแบบมีรอกอีก 1 คันซึ่งของกลางดังกล่าวจำเลยที่ 1,2 เเละ 4 ก็ไม่ได้ปฏิเสธว่าไม่ใช่ของพวกตน อุปกรณ์ดังกล่าวไม่ใช่อุปกรณ์จำเป็นในการเที่ยวป่า เป็นการแสดงให้เห็นว่าจําเลยที่ 1,2เเละ4 มีการนัดหมายกันไปเพื่อจะล่าสัตว์ในบริเวณที่เกิดเหตุ โดยสามารถล่าได้ทั้งสัตว์น้ำและสัตว์บกจึงมีการตั้งแคมป์บริเวณใกล้กับลำห้วยปะซิ ซึ่งเป็นแหล่งน้ำที่พบเจอได้ทั้งสัตว์น้ำและสัตว์บก เมื่อปรากฏตามพยานหลักฐานที่ยึดได้คือซากเสือดำซึ่งมีการชำแหล่ะแล้วบริเวณที่เกิดเหตุอีกทั้งมีร่องรอยการปรุงอาหารจากซากเสือดำที่ถูกล่าอยู่ในหม้ออาหาร ซึ่งยึดได้จากแคมป์ของจำเลยที่ 1,2เเละ 4ยิ่งเป็นการยืนยันได้โดยมั่นคงว่าเสือดำดังกล่าวถูกล่าโดยจำเลยที่ 1,2เเละ4 โดยมีการแบ่งหน้าที่กันทำ โดยที่จำเลยที่ 1 เเละ 2 เป็นคนดำเนินการจัดเตรียมและน่าอาวุธปืนที่ใช้เป็นอาวุธในการยิงเสือดำเข้าไปในที่เกิดเหตุ เเละเชื่อได้ว่าจำเลยที่ 4 เป็นคนลงมือยิ่งเสือดำจนถึงแก่ความตาย และจากการตรวจพิสูจน์ปลอกกระสุนปืนที่พบในที่เกิดเหตุที่ปรากฏว่าอาวุธปืนที่ใช้ยิงดังกล่าวเป็นอาวุธปืนของกลางที่ยึดได้จากที่เกิดเหตุซึ่งเป็นอาวุธปืนของจำเลยที่ 1 ที่ศาลชั้นต้นฟังว่าจำเลยที่ 1 เป็นเพียงผู้สนับสนุนในการกระทำความผิดและจำเลยที่ 2 ไม่ได้ร่วมกระทำความผิดในการล่าเสือดำนั้น ศาลอุทธรณ์ภาค7 แผนกคดีสิ่งแวดล้อมไม่เห็นพ้องด้วยอุทธรณ์ของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น ส่วนอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น และที่ศาลชั้นต้นฟังว่าจำเลยที่ 4 เป็นคนใช้อาวุธปืนยิงเสือดำถึงแก่ความตายนั้น ศาลอุทธรณ์ภาค 7 แผนกคดีสิ่งแวดล้อมเห็นพ้องด้วยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 4 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น”