หอการค้าไทยเผยดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภคพ.ย.ลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 9 ต่ำสุดรอบ 67 เดือนจากกังวลเศรษฐกิจฟื้นตัวช้า กำลังซื้อวูบ-การเมืองในประเทศไร้เสถียรภาพ-พิษสงครามการค้า แต่มั่นใจเศรษฐกิจปีหน้าปรับตัวดีขึ้น คาดขยายตัวร้อยละ 3.1 แนะขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 6-9 บาทเหมาะสม หวั่นขึ้นมากเป็นแรงกดดันชะลอจ้างงานกระทบบัณฑิตใหม่ นายปรีดา โพธิ์ทอง รองผู้อำนวยการ ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยเปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนพ.ย.62 อยู่ที่ระดับ 69.1 ปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 9 และอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 67 เดือนนับตั้งแต่ปี 2559 ด้านดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคปัจจุบันปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 9 จากระดับ 46.5 ในเดือนต.ค.62 มาอยู่ในระดับ 45.2 ในเดือนพ.ย.62 ต่ำสุดในรอบ 218 เดือนหรือ 18 ปี 2 เดือนนับตั้งแต่เดือนตุ.ค.44 ทั้งนี้แม้รัฐบาลเริ่มมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมามากขึ้น เนื่องจากผู้บริโภคกังวลเกี่ยวกับเสถียรภาพทางการเมืองทั้งปัจจุบันและอนาคต อีกทั้งยังกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจไทยที่ยังฟื้นตัวช้าและกำลังซื้อของประชาชนยังไม่ฟื้นตัวขึ้นมากนัก ประกอบกับสถานการณ์ไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก เนื่องจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน และปัญหา Brexit รวมถึงการแข็งค่าของเงินบาทเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศคู่แข่ง ส่งผลกระทบเชิงลบต่อความสามารถในการแข่งขันของภาคการส่งออกและภาคการท่องเที่ยว นายธนวรรธน์ พลวิชัย รองอธิการบดีอาวุโสวิชาการและงานวิจัยและผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยกล่าวว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ปรับตัวลงต่อเนื่อง สะท้อนความไม่ไว้ใจเศรษฐกิจ ซึ่งจากการประชุมหอการค้าทั่วประเทศพบว่า เอกชนส่วนใหญ่สะท้อนออกมาว่า ยังไม่มีสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ระดับเงินเฟ้อยังต่ำ สัญญาณจ้างงานเพิ่มขึ้นไม่มาก สะท้อนกำลังซื้อผู้บริโภคไม่โดดเด่น ดังนั้น ในการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบันหรือ กกร. จึงได้เสนอให้รัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้งนี้คาดการณ์เศรษฐกิจไทยปี 2563 จะปรับตัวดีขึ้น โดยคาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 3.1 เป็นการเติบโตในช่วงร้อยละ 2.7-3.6 ค่ากลาง 3.1 ด้านการส่งออกจะกลับมาโตเป็นบวกร้อยละ 1.8 โดยยังมองว่า ไม่มีข่าวเชิงลบในเรื่องสงครามการค้า โดยฝ่ายจีนระบุว่าอยากให้สหรัฐฯลดภาษีนำเข้า ขณะที่สหรัฐอยากให้จีนเปิดตลาดสินค้าเกษตร ดังนั้นวันที่ 15 ธ.ค.นี้เชื่อว่าสหรัฐฯไม่น่าจะมีการขึ้นภาษีนำเข้าอีกระลอก ด้านญี่ปุ่นอัดฉีดเศรษฐกิจวงเงิน 3.1 ล้านล้านเยน หลายประเทศเริ่มใช้นโยบายการคลังเพิ่มเติม ซึ่งประเทศไทยใช้นโยบายการเงินเข้ามาเสริม ขณะที่นักวิเคราะห์หลายคนคาดการณ์เศรษฐกิจไทยจะค่อยๆฟื้นปลายไตรมาสแรกปีหน้าด้านรัฐบาลสามารถผ่านงบประมาณได้ คาดว่าจะเริ่มใช้จ่ายงบประมาณเดือนก.พ.63 พร้อมมีการเร่งเบิกจ่ายงบประจำ งบลงทุน ซึ่งน่าจะเป็นเครื่องจักรสำคัญ ทำให้เศรษกิจมีบรรยากาศที่คลี่คลายลง สำหรับการปรับค่าจ้างขั้นต่ำจากที่อยู่ในระดับเฉลี่ยวันละ 330 บาทนั้น หากพิจารณาเงินเฟ้อของไทยที่อยู่ในระดับร้อยละ 1 เศษ ดังนั้นการจะปรับค่าแรงขั้นต่ำร้อยละ 6-15 เป็นกรอบที่ดำเนินการได้ เพราะสอดคล้องกับเงินเฟ้อ แต่ต้องพิจารณาตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการไตรภาคี และที่สำคัญต้องรับฟังความเห็นของภาคเอกชน ทั้งนี้การปรับค่าจ้างขั้นต่ำควรปรับเพิ่ม 6-9 บาท ไม่ควรปรับเพิ่มวันละ 10 บาท เพราะระดับต่ำกว่า 10 บาทน่าเป็นระดับที่ภาคเอกชนพร้อมจ่ายมากขึ้น และสามารถประคองการจ้างงานเอาไว้ได้ และเป็นผลบวกมากกว่าการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำวันละ 10-15 บาท และหากมีการปรับค่าแรงขั้นต่ำขึ้นไประดับ 10 บาทขึ้นไปจะทำให้ค่าแรงขั้นต่ำจะเพิ่มเป็นวันละ 340-345 บาท ทำให้ฐานเงินเดือนลูกจ้างในภาพรวมจะต้องถูกปรับขึ้นตามไปด้วย และเป็นแรงกดดันให้มีการชะลอการจ้างงาน กระทบบัณฑิตใหม่ได้รับการจ้างงานลดลง อีกทั้งเป็นปัจจัยเร่งให้ภาคเอกชนนำเครื่องจักรเข้ามาใช้มากขึ้น ขณะนี้ภาคเหนือมีประชากรผู้สูงอายุสัดส่วนคิดเป็นร้อยละ 20 แล้ว ภาคเอกชนเริ่มนำเครื่องจักรเข้ามาแทนแรงงานคนมากขึ้นแล้ว