“กกร.”คงจีดีพีปีนี้โต 2.7-3% ส่งออกลบ 2-0% รับยังไร้แรงปัจจัยหนุน กังวลการเมืองไม่นิ่งฉุดเชื่อมั่นนักลงทุน เสนอ 6 มาตรการชงรัฐคลอดกระตุ้นเศรษฐกิจ นายกลินทร์ สารสิน ประธานกรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ในฐานะประธานที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน(กกร.) ซึ่งประกอบด้วยสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.)และสมาคมธนาคารไทยเปิดเผยว่า กกร.ยังคงกรอบประมาณการณ์เศรษฐกิจปี 2562 ที่ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ(จีดีพี)จะเติบโต 2.7-3.0% ส่งออกติดลบ 2% ถึง 0% เนื่องจากยังไม่มีสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ชัดเจน ขณะที่คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจปี 2563 น่าจะเติบโตจากปีนี้มาจากการเบิกจ่ายงบประมาณของรัฐ การเติบโตการท่องเที่ยว การลงทุนเอกชน เป็นต้น แต่ตัวเลขทั้งหมดจะมีการทบทวนและรายงานอย่างเป็นทางการอีกครั้งในการประชุมกกร.เดือนม.ค.63 โดยเศรษฐกิจไทยยังคงต้องเผชิญกับเศรษฐกิจโลกที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทที่แข็งค่า ฯลฯ อย่างไรก็ตาม กกร.มีความกังวลในขณะนี้ถึงเสถียรภาพการเมืองจึงอยากเห็นการเมืองที่นิ่งไม่ใช่ตีกันเช่นนี้ โดยต้องการให้พรรคร่วมรัฐบาลทำงานไปทิศทางเดียวกันเพื่อที่จะสร้างความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนและสนับสนุนเศรษฐกิจไทยให้เดินหน้าไปข้างหน้า รวมไปถึงต้องการให้คณะกรรมการค่าจ้าง(บอร์ดค่าจ้าง)ที่จะประชุม 6 ธ.ค.นี้ชะลอการขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำออกไปก่อนหรือหากต้องขึ้นขอให้ปรับขึ้นเพียงเล็กน้อยไม่ควรจะถึง 10-15 บาทต่อวันเพราะหากขึ้นมากจะเป็นแรงผลักดันให้ผู้ประกอบการหันไปใช้เครื่องจักรแทนแรงงานคนมากขึ้น ทั้งนี้แม้ภาครัฐจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจหลายด้าน อาทิ มาตรการ ชิมช้อปใช้(ทั้ง 3 เฟส) มาตรการประกันรายได้สินค้าเกษตร ฯลฯแต่เห็นว่าในช่วงที่เหลือของปีนี้ ควรที่จะเร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น เพื่อทำให้เศรษฐกิจไตรมาสที่ 4 ต่อเนื่องไปถึงไตรมาสที่ 1 ปีหน้าปรับตัวดีขึ้นดังนี้ 1.มาตรการช้อปช่วยชาติ โดยให้บุคคลธรรมดาสามารถนำค่าใช้จ่ายจากการซื้อสินค้าอุปโภค บริโภค (ยกเว้นสินค้าบางประเภท อาทิ สุรา ยาสูบ เป็นต้น) รวมทั้งของขวัญปีใหม่มาหักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 15,000 บาท 2.มาตรการภาษี เพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยว และการจัดอบรมสัมมนาในจังหวัดท่องเที่ยวเมืองรอง โดยได้รับยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่รวมกันไม่เกิน 15,000 บาท และของนิติบุคคลไม่เกิน 1.5 เท่าของค่าใช้จ่ายจริง 3.เร่งการลงทุนภาครัฐเพื่อให้เกิดการลงทุนต่อเนื่องของภาคเอกชน โดยใช้วิธีการจัดซื้อจัดจ้างแบบพิเศษใช้ผู้รับเหมาจากในพื้นที่เท่านั้น (Local to Local) 4. ผลักดันและเร่งรัดการดำเนินงานตามแผนงานของ บสย.ในปี 2563 และ 5.เร่งรัดการคืนภาษี VAT ทั้งผู้ส่งออกและผู้ประกอบการให้รวดเร็วขึ้น 6.ผลักดันโครงการค้ำประกันการส่งออกให้ครอบคลุมตลาดใหม่ๆของ SMEs และรัฐบาลช่วยรับภาระค่าธรรมเนียมค้ำประกันการส่งออกให้กับ SMEs ในตลาดเป้าหมาย และส่งเสริมผู้ประกอบการส่งออกที่เป็น SMEs ขายสินค้าเป็นเงินบาท ฯลฯ ส่วนกรณีค่าเงินบาทนั้น ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ควรพิจรณามาตรการเพิ่มเติมเพื่อช่วยเหลือ SMEs เพราะหากบาทยังแข็งค่าต่อเนื่องก็คงจะมีผลระยะยาวซึ่งก็ยอมรับว่าค่าบาทคงอยู่ที่ 30-31 บาทต่อเหรียญสหรัฐคงไม่กลับไปเหมือนเดิมอีกทุกส่วนต้องยอมรับและปรับตัวด้วย