วันนี้ (2 ธ.ค.) เว็บไซต์สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง( กกต.)ได้เผยแพร่คำวินิจฉัย กกต.กรณีมีมติยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาขอให้เพิกถอนสิทธิสมัคร สิทธิเลือกตั้ง และดำเนินคดีอาญานายชาติชาย วรพิพัฒน์ ผู้สมัคร ส.ส.เขต 2 จันทบุรี พรรคประชาธิปัตย์ ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. 2561 มาตรา 138 มาตรา 73 วรรคหนึ่ง (5) ประกอบมาตรา 159 หลังตรวจสอบพยานหลักฐาน ซึ่งเป็นแผ่นบันทึกภาพและเสียงประกอบคำร้องของผู้ร้องและคำรับของนายชาติชายแล้วฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 10 มี.ค. เวลา 10.18 น. นายชาติชายได้ปราศรัยหาเสียงเลือกตั้งที่บริเวณตลาดวังพง ต.ขุนซ่อง อ.แก่งหางแมว จ.จันทบุรี มีข้อความบางช่วงบางตอนว่า “ท่าน (หมายถึงนายชวน หลีกภัย) บอกว่าท่านขอโทษพี่น้องพรรคประชาธิปัตย์ทุกท่าน ท่านเสียใจมากที่ ส.ส.ประชาธิปัตย์คนเดิมทั้ง 3 คน ได้ถูกซื้อตัว แล้วย้ายพรรคไปแล้วนะครับ พวกผม 3 คนเขต 1 รองปวีณา เขต 2 ผมกำนันชาติ เขต 3 น้องเบนซ์ ชรัตน์ เนรัญชร นะครับ เป็นคนรุ่นใหม่ที่จะเข้ามาทำหน้าที่ให้กับพี่น้องชาวจันทบุรีในนามพรรคประชาธิปัตย์” และข้อความ “ส่วนที่ท่านรองสาธิต (หมายถึงนายสาธิต ปิตุเตชะ) ได้พูดว่า ให้พวกเราทั้ง 3 คน ได้ยืนยันกับพ่อแม่พี่น้องชาวแห่งหางแมว พ่อแม่พี่น้องชาวจันทบุรี ไว้แต่แรกแล้วนะครับว่า ที่นายกชวนได้พูดถึงนะครับว่าท่านเสียใจแล้วก็ขอโทษพี่น้องชาวแก่งหางแมวและพี่น้องชาวจันทบุรีที่ ส.ส.ทั้ง 3 คน ได้ถูกซื้อตัวแล้วก็ย้ายพรรคไปอยู่พรรคอื่นแล้ว พวกผมทั้ง 3 คนนะครับ ยืนยันแล้วก็ปฏิญาณนะครับ พร้อมที่จะปฏิญาณกับพี่น้องชาวแก่งหางแมว และก็พี่น้องประชาธิปัตย์ชาวจันทบุรีว่าพวกเรา 3 คน จะทำงานด้วยอุดมการณ์ เงินเพียงมากน้อยแค่ไหนอย่างที่ท่านรองสาธิตท่านบอกของท่านยังมีตกแล้วอย่างน้อยต้องมี 70 ล้านขึ้น พวกผมทั้ง 3 คนก็ยังถืออุดมการณ์ อย่างที่ท่านรองสาธิตว่า เงินไม่สามารถซื้อพวกเราได้” โดยในขณะปราศรัยหาเสียงดังกล่าว นายชาติชายได้จัดให้มีการเผยแพร่ภาพและเสียงผ่านทางเฟซบุ๊กชื่อ ชาติชาย วรพิพัฒน์ ด้วยการปราศรัยหาเสียงโดยใช้คำว่า “ส.ส.ประชาธิปัตย์คนเดิมทั้ง 3 คนได้ถูกซื้อตัวแล้วย้ายพรรคไปแล้ว” ซึ่งผู้ร้องยืนยีนว่าการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาผู้ร้องได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส.จันทบุรี เขต 2 พรรคประชาธิปัตย์ แต่ในการเลือกตั้งครั้งนี้ได้ย้ายมาสมัครในนามพรรคพลังประชารัฐ การปราศรัยหาเสียงดังกล่าวของนายชาติชาย จึงหมายถึงผู้ร้องซึ่งอดีตเคยเป็น ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์และต่อมาย้ายมาสังกัดพรรคพลังประชารัฐ จึงเป็นการใส่ร้ายผู้ร้องและทำให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเข้าใจย้ายพรรคเพราะถูกซื้อตัว ละทิ้งอุดมการณ์เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน อันเป็นการใส่ร้ายด้วยความเท็จ จูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเข้าใจผิดในคะแนนนิยม และจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนให้กับนายชาติชาย การกระทำของผู้ร้องจึงเข้าข่ายเป็นความผิด ทั้งนี้ กรณีของนายชาติชาย หากศาลฎีกามีความเห็นยืนตามที่ กกต.เสนอก็จะเป็นอีกกรณีหนึ่งต่อจากกรณีใบเหลืองของนายกรุงศรีวิไล สุทินเผือก ส.ส.เขต 5 สมุทรปราการ พรรคพลังประชารัฐ ที่ขณะนี้ กกต.ได้มีการส่งคำร้องไปยังศาลฎีกาแล้ว โดยจะมีผลให้ต้องมีคำนวณคะแนน ส.ส.บัญชีรายชื่อของทุกพรรคการเมืองใหม่ หลังจากตัดคะแนนของนายชาติชายออก ซึ่งในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 24 มี.ค. นายชาติชาย ได้คะแนน 19,711 คะแนน นอกจากนี้ยังมีคำวินิจฉัยให้ดำเนินคดีอาญาต่อนายไพรัตน์ สุขสถาพรชัย ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านหมู่ 2 ต.นาสวน อ.ศรีสวัสดิ์ จ.กาญจนบุรี ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. 2561 มาตรา 158 ประกอบมาตรา 73 วรรคหนึ่ง (1) จากกรณีมีหลักฐานเป็นคลิปบันทึกภาพและเสียงของพยานและคำให้การของพยาน ที่ยืนยันตามที่มีผู้แจ้งเหตุว่า วันที่ 23 มี.ค. 62 เวลา 20.30 น.ก่อนวันเลือกตั้งได้รับเงินจำนวน 600 บาทจากนายไพรัตน์ เพื่อจูงใจให้ผู้แจ้งเหตุและผู้มีสิทธิเลือกตั้งในบ้านรวม 3 คน ลงคะแนนเลือกตั้งให้กับ พล.อ.สมชาย วิษณุวงศ์ ผู้สมัคร ส.ส.เขต 2 พรรคพลังประชารัฐ ซึ่งเป็นผู้ถูกร้อง แต่ไม่มีพยานหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่า พล.อ.สมชายเกี่ยวข้องกับการกระทำของนายไพรัตน์ และ พล.อ.สมชายยืนยันว่าไม่รู้จักนายไพรัตน์ จึงยังฟังไม่ได้ว่า พล.อ.สมชายเป็นผู้ก่อ สนับสนุน หรือรู้เห็นเป็นใจให้นายไพรัตน์กระทำการจึงให้ยุติเรื่องในส่วนที่ร้อง พล.อ.สมชาย