“หมอระวี” แนะ รัฐบาลเร่งเคลียร์ปมอุ้มสารพิษ หวั่นฝ่ายหนุน-ค้านไม่จบ ชงตั้งกก. ค้นหาความจริง พร้อมเสนอเกษตรอินทรีย์เป็นวาระแห่งชาติ เมื่อวันที่ 2 ธ .ค. นพ.ระวี มาศฉมาดล ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคพลังธรรมใหม่ ในฐานะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการควบคุมการใช้สารเคมีในภาคเกษตรกรรม สภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงความขัดแย้งทางการเมืองในพรรคร่วมรัฐบาล หลังคณะกรรมการวัตถุอันตรายมีมติเลื่อนแบนสารเคมี ว่า เป็นความเห็นต่างใน 3 พรรคร่วมรัฐบาล คือพรรคประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทย และพรรคพลังประชารัฐ จึงกลายเป็นความขัดแย้งระหว่างประชาชน 2 ฝ่ายคืแฝ่ายที่เห็นด้วยกับการแบนสารเคมี กับฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับการแบนสารเคมี เพราะฉะนั้นต้องเร่งเดินหน้าพูดคุยกันว่า จะมีมาตรการใดในช่วง 6 เดือนที่เลื่อนแบนสารเคมีให้ชัดเจน เพราะทั้งสองฝ่ายจะไม่หยุด ฝ่ายที่อยากให้แบนก็ต้องสู้ต่อ ส่วนฝ่ายเกษตรกรที่ไม่อยากให้แบนก็สู้ต่อ เพราะต้องการควบคุมสารเคมีทั้ง 3 ตัว หากการเมืองยังไม่มีข้อสรุปลงตัวชัดเจน สุดท้ายก็จะเกิดความขัดแย้งในภาคประชาชน จึงเป็นสิ่งที่น่าเป็นห่วง เมื่อถามว่า ท่าทีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ยอมรับมติคณะกรรมการวัตถุอันตรายนั้น นพ.ระวี กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีอาจจะตัดสินใจเรียกทั้ง 3 ฝ่ายมาพูดคุยกันว่าจะทำอย่างไรต่อไป แต่ตนเห็นว่า ควรยืนยันการแบนสารเคมีทั้ง 3 ตัว โดยให้มีบทเฉพาะกาลช่วงเปลี่ยนผ่าน 6 เดือน เพื่อหามาตรการผ่อนผันให้เกษตรกรปรับตัว และทุกอย่างก็จะราบรื่นมากขึ้น นพ.ระวี กล่าวว่า ขอให้รัฐบาลตั้งคณะกรรมการร่วมเพื่อศึกษาวิจัยหาความจริง โดยมีตัวแทนจากทั้งสองฝ่าย และควรศึกษาบทเรียนจากต่างประเทศว่าทำไมสามารถแบนสารพิษได้โดยไม่มีการประท้วง แต่ส่วนตัวต้องการให้แบนสารเคมีภาคเกษตรกรรมทุกชนิด และให้ทำเกษตรอินทรีย์เต็มรูปแบบ เนื่องจากปััจจุบันพบว่านาข้าวมีพื้นที่เกษตรอินทรีย์หลักพัน และหลักหมื่นไร่เท่านั้น ถือว่าน้อยหากเทียบกับประเทศไทยที่มีพื้นที่เป็นล้านล้านไร่ เพราะฉะนัันขอเสนอให้รัฐบาลทำเรื่องเกษตรอินทรีย์เป็นวาระแห่งชาติ โดยกำหนดนโยบาย งบประมาณและการบูรณาการให้เป็นรูปธรรม โดยใช้งบประมาณปี 2563 ตั้งเขตเศรษฐกิจพอเพียงทุกอำเภอ เพื่อกำหนดโซนนิ่งปลูกเกษตรอินทรีย์ให้ชัดเจน มีฝ่ายการตลาดทำการตลาดให้พื้นที่เกษตรอินทรีย์ และคาดว่าจะทำให้พื้นที่เกษตรอินทรีย์มีจำนวนมากขึ้นทุกปี หากทำแบบนี้เกษตรกรจะมีโอกาสปรับตัว