เมื่อวันที่ 30 พ.ย. แหล่งข่าวจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ขณะนี้เริ่มมีผู้ไม่ประสงค์ออกนามส่งข้อมูลมายังทีมงานของนางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รมช.เกษตรและสหกรณ์ แจ้งว่าในหลายพื้นที่เริ่มมีข่าวการเรียกเก็บค่าน้ำร้อน น้ำชา ร้านค้าที่จำหน่ายสารเคมีทางการเกษตรเนื่องจาก คำสั่งแบนสารเคมีเกษตร 3 ตัว คือ พาราควอต คลอร์ไพริฟอส และไกลโฟเซส ยังไม่ชัดเจน ทำให้เกิดช่องโหว่ในการตรวจสอบ "แม้จะยังชัดไม่เรื่องแบน 3 สารหรือไม่ แต่ก็ยังมีมติเมื่อ 23 พ.ค.62 เรื่องการจำกัดการใช้อยู่ คนที่ใช้สารต้องขึ้นทะเบียนผู้ใช้ ขึ้นทะเบียนร้านค้า มีการอบรมผู้พ่นสารเคมี ซึ่งร้านจำหน่ายต้องขอดูใบอนุญาตเหล่านั้นก่อนจำหน่ายที่เกษตรกรแต่ละคนจะมีสิทธิ์ซื้อไม่เท่ากันตามชนิดพืชและจำนวนพื้นที่ที่ปลูก หากเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ มองไม่เห็น ก็จบ กรณีนี้น่าจะตอบข้อกังขาที่ประชาชนสงสัยว่า ทำไม่เรื่องสารเคมีจึงมีการขัดแย้งกันมาก แม้กระทั้งข้าราชการผู้ใหญ่ก็เลือกข้าง แสดงตัวชัด และเมื่อดูงบประมาณของกรมวิชาการเกษตร ก็แค่ 2 พันล้าน ต่างกับกรมอื่นๆ ที่งบมากกว่าระดับหมื่นล้าน ดังนั้นพอมีประเด็นเรื่องนี้จึงไม่แปลกใจที่มีแต่คนต้องการเข้ามาช่วยดูแลกรมวิชาการเกษตรกันมาก เพราะมีผลประโยชน์ใต้ภูเขาน้ำแข็งมาก" แหล่งข่าวจากระทรวงเกษตรฯ กล่าว ทั้งนี้ บรรยากาศในการทำงานระหว่างรมว.เกษตรและสหกรณ์ และรมช.เกษตรและสหกรณ์ ต่างเริ่มขัดแย้งกัน เนื่องจากกรณี 3 สาร ปลัดกระทรวงเกษตรฯ ได้ถือเอกสารเข้าประชุม ทั้งที่ในวันที่ 22 พ.ย.62 ระบุว่าข้อมูลต้องปรับปรุง และวันที่ 25 พ.ย.62 รมว.เกษตรและสหกรณ์ ก็รับว่าข้อมูลเรื่องการช่วยเหลือเกษตรกร 3.3 หมื่นล้านบาท ยังไม่สรุปให้ปลัดกระทรวงเกษตรฯ ไปดูรายละเอียดใหม่ พร้อมกับผลกระทบกรณีแบน 3 สารแต่ในวันที่ 27 พ.ย.62 ปลัดกระทรวงเกษตรฯ เข้าประชุมและนำข้อมูลของกรมวิชาการเกษตร ไปนำเสนอคณะกรรมการวัตถุอันตราย โดยที่นางสาวมนัญญา ไม่ทราบมาก่อน