งานประชุมอบรมเชิงปฏิบัติการ Insulin Therapy 2019 เมื่อเร็วๆ นี้ สมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทยในพระราชูปถัมภ์ฯ ได้หยิบยกข้อมูลจากสมาพันธ์เบาหวานนานาชาติ (IDF: International Diabetes Federation) ในปีพ.ศ.2560 มีการประเมินว่ามีผู้ป่วยเบาหวาน รวม425ล้านรายทั่วโลก แบ่งเป็นกลุ่มผู้สูงอายุ 65ปีขึ้นไป 98ล้านราย และช่วงอายุ 20-64ปี 327 ล้านราย และคาดการณ์ว่าในปีพ.ศ.2588 จะมีผู้ป่วยเบาหวาน629ล้านรายทั่วโลก โดยแบ่งเป็นผู้สูงอายุ 65ปีขึ้นไป 191ล้านราย หรือมีอัตราการเพิ่มอยู่ที่ร้อยละ94.8และในช่วงอายุ 20-64ปี 438ล้านราย หรือมีอัตราการเพิ่มอยู่ร้อยละ33.9ซึ่งจะเห็นได้ว่าอัตราการเพิ่มของผู้ป่วยเบาหวานในกลุ่มผู้สูงอายุจะสูงกว่าช่วงวัยทำงาน ศ. เกียรติคุณ พญ. วรรณี นิธิยานันท์ นายกสมาคมโรคเบาหวานฯ กล่าวว่า เนื่องด้วยปัจจุบันอุบัติการณ์โรคเบาหวานยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการควบคุมเบาหวานและภาวะร่วมอื่นๆ ในประเทศไทยยังไม่บรรลุตามเป้าหมาย จึงเป็นเรื่องที่น่าวิตกกังวลและต้องรณรงค์สร้างการรับรู้เกี่ยวกับเบาหวานในหลากหลายมิติ ด้วยเบาหวานเป็นสาเหตุหลักที่ก่อให้เกิดโรคอื่นๆ ในกลุ่มโรคNCDsอีกมากมาย อาทิ โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคความดันโลหิตสูง และโรคไต ฯลฯ และก่อให้เกิดการสูญเสียค่าใช้จ่ายในการรักษาด้านสาธารณสุขของประเทศไทยมูลค่ามหาศาล เฉพาะเบาหวานเพียงโรคเดียวทำให้สูญเสียค่าใช้จ่ายในการรักษาเฉลี่ยสูงถึง47,596ล้านบาทต่อปี และหากรวมอีก3โรค คือ โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ และโรคหลอดเลือดสมอง ทำให้ภาครัฐสูญเสียงบประมาณในการรักษารวมกันสูงถึง302,367ล้านบาทต่อปี ประกอบกับสถิติข้อมูลสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ปีพ.ศ.2561 ได้แสดงถึงเป้าหมายในการควบคุมการดูแลตนเองของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2ในกลุ่มอายุตั้งแต่ 35ปีขึ้นไป ที่เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลต่างๆ โดยได้ตรวจเช็คระดับค่าน้ำตาลสะสม (A1C) เฉลี่ยในช่วง3เดือน โดยกำหนดผู้ป่วยเบาหวานควรจะค่าน้อยกว่า 7 mg% (หรือA1C < 7%) แต่ปรากฏว่าผู้ป่วยที่สามารถควบคุมให้อยู่ในเกณฑ์ที่กำหนด มีเพียง36.5%, ระดับความดันโลหิตBlood Pressure ควรอยู่ในช่วง80 - 130 mmHgแต่มีผู้ป่วยที่ควบคุมให้อยู่ในเกณฑ์เพียง39.4% ขณะที่ระดับไขมันLDL-C ควรน้อยกว่า100 mg/dLอยู่ที่ 49.2 ตามลำดับ โดยจากข้อมูลประเมินได้ว่าผู้ป่วยเบาหวานส่วนใหญ่ ยังไม่สามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน รวมถึงปรับการใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างเหมาะสม ด้านนพ.ชัยชาญ ดีโรจนวงศ์ ประธานวิชาการสมาคมโรคเบาหวานฯกล่าวว่า อย่างไรก็ตาม ขณะที่อุบัติการณ์เบาหวานยังมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น บวกกับผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2ยังไม่สามารถควบคุมดูแลตนเองได้ตามเป้าหมาย แต่ด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยีและวิวัฒนาการการแพทย์ที่ไม่เคยหยุดยั้ง ปัจจุบันไม่เพียงแต่การรักษาด้วยยารับประทาน หรือการให้อินซูลินเท่านั้น แต่ได้มียากลุ่มใหม่ที่ช่วยแก้ปัญหาในการลดน้ำตาลหลังมื้ออาหาร และช่วยลดน้ำตาลระหว่างมื้อได้ภายในเข็มเดียวกัน ซึ่งนับเป็นนวัตกรรมทางการแพทย์ที่นักวิจัยได้คิดค้นและพัฒนาแนวทางรักษาด้วยวิธีใหม่ๆ และนับเป็นความท้าทายในการดูแลจัดการให้ผู้ป่วยเบาหวานที่มีอาการซับซ้อนให้มีอายุที่ยืนยาวขึ้น โดยยากลุ่มใหม่นี้ได้ถูกระบุอยู่ในThe American Diabetes Association's (ADA) และEuropean Association for the Study of Diabetes (EASD) ได้ปรับปรุงแนวทางการรักษาภาวะน้ำตาลในเลือดสูงในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2ใหม่ เน้นที่การรักษาสำหรับผู้ป่วยเฉพาะราย หรือให้ผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง โดยจะพิจารณาถึงทางเลือกในการรักษาด้วยยาชนิดต่างๆ อาการไม่พึงประสงค์ที่รุนแรงจากยาแต่ละชนิด ผลของการควบคุมน้ำตาล และการเกิดภาวะแทรกซ้อนของโรค เบาหวานชนิดที่ 2จะพบมากที่สุดประมาณร้อยละ90ของผู้ป่วยเบาหวานทั้งหมด เกิดเนื่องจากภาวะดื้ออินซูลิน (insulin resistance) เมื่อรับประทานอาหาร ตับอ่อนพยายามผลิตอินซูลิน เพื่อนำน้ำตาลจากอาหารเข้าเซลล์ไปใช้เป็นพลังงาน แต่ภาวะดื้ออินซูลิน ทำให้อินซูลินทำหน้าที่ลดน้ำตาลในเลือดได้ไม่ดี ส่งผลให้น้ำตาลในเลือดสูง เกิดเป็นเบาหวาน และเมื่อเป็นเบาหวานที่ไม่ได้รักษา น้ำตาลที่สูงเป็นเวลานาน ยังส่งผลให้เกิดภาวะเป็นพิษต่อเซลล์ตับอ่อน ทำให้ตับอ่อนผลิตอินซูลินไม่ได้ เกิดภาวะขาดอินซูลิน ร่วมด้วย การรักษาเบาหวานชนิดที่ 2 แพทย์จะใช้แนวทางของ “ผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง” การเลือกใช้ยารักษา จะพิจารณาจากหลายองค์ประกอบ อาทิ ผู้ป่วย อายุ ระดับความรุนแรงของอาการ ระดับน้ำตาล โรคร่วม ประสิทธิภาพของยา ราคา และผลข้างเคียง ขณะเดียวกันผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 โดยเฉพาะรายใหม่ๆ ก็ควรจะได้รับการแนะนำให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ประกอบด้วย กินอาหารในปริมาณพอเหมาะ อ่อนหวาน มัน เค็ม มีผักผลไม้ทุกมื้อ ใช้ข้าว/แป้งขัดสีน้อย มีธัญพืชและถั่วทุกวัน ออกกำลังกายปานกลาง ครั้งละอย่างน้อย 30 นาที สัปดาห์ละ 5 วัน, เคลื่อนที่ร่างกาย 5-10 นาที ทุก 1-2ชั่วโมง, ให้ความรู้คำปรึกษาและช่วยเหลือการควบคุมเบาหวาน ฝึกสมาธิ วิธีผ่อนคลาย หรือปรึกษานักจิตวิทยา หรือจิตแพทย์, เข้านอนเป็นเวลา ประมาณ 22.00 น. และนอนไม่น้อยกว่า วันละ 7 ชั่วโมง, ไม่ดื่มแอลกอฮอล์, ไม่สูบบุหรี่ รวมถึงไม่อยู่ในสถานที่ที่มีควันบุหรี่เป็นเวลานาน และในบ้านไม่สูบบุหรี่ ศ. เกียรติคุณ พญ. วรรณี กล่าวว่า องค์ประกอบที่จะดูแลรักษาผู้ป่วยเบาหวานไม่ได้อยู่ที่แพทย์เพียงเท่านั้น แต่หมายรวมถึงทีม ทั้งพยาบาล สหสาขาวิชา รวมถึงบุคคลใกล้ชิด พ่อแม่พี่น้อง ญาติมิตร แต่สำคัญที่สุดคือ ‘ผู้ป่วย’ หากยอมรับและพร้อมที่จะอยู่กับเบาหวานอย่างเข้าใจ ก็จะเกิดทักษะและสามารถดูแลตนเองได้อย่างเหมาะสม ทำให้การดูแลรักษาเบาหวานและควบคุมภาวะร่วมให้อยู่ในเกณฑ์ที่ดีได้ ช่วยลดอัตราการเกิดโรคเบาหวานในครอบครัวจากรุ่นสู่รุ่น และลดโอกาสเกิดโรคร่วมอื่นๆ รวมถึงภาวะแทรกซ้อนต่างๆ อีกด้วย