พล.ท.พงศกร รอดชมภู รองหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ โพสต์ข้อความในเพจเฟซบุ๊กชื่อ พงศกร รอดชมภู ระบุว่า...
มีคนว่า "ถ้ามีสงครามจะเกณฑ์ไม่ทัน" ส่วนกรณีนักวิทยาศาสตร์พูดถึงเม็ดเลือดขาว ผมไม่มีความรู้เรื่องการจ่ายยา ทราบแต่ว่าเม็ดเลือดขาวมากเกินไปจะเป็นโรค และถ้าเป็นพวก (พลเมืองดี) แข็งแรงเกินไปก็คือ มะเร็งครับ มาว่ากันด้วยเรื่องการทำสงคราม ที่ทหารบางท่านอาจไม่ค่อยถนัด เมื่อเกิดสงครามจำกัดหรือมีทีท่าว่าจะขยายไปเป็นสงครามขนาดใหญ่หรือจำเป็นต้องร่วมทำสงครามกับพันธมิตร ดูเป็นรูปธรรมคือ การเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 1 เราเข้าทำสงครามช่วงปีสุดท้าย สงครามโลกครั้งที่ 2 โดนบุกโดยญี่ปุ่นหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ เกิดไปแล้ว 3 ปี ยุคนี้อาจเร็วหน่อย ก็ลองมาดูว่าเราจัดกำลังทำการรบกันอย่างไร? เมื่อเกิดสงคราม เราจะใช้กำลังประจำการทั้งหมด หรือเรียกรวมๆว่า กำลังหลักก่อน ระหว่างนั้นจะระดมกำลังสำรองมาทดแทนหรือฝึกทบทวนเพื่อเตรียมโต้ตอบ การเข้าทำการรบปกติใช้กำลัง 3 ระลอก โดยใช้กำลังหลักและกำลังสำรอง กำลังสำรองมาจากไหน ซึ่งก็คือกองหนุนประเภทที่ 1 ได้แก่ทหารที่เพิ่งปลดและพวกเรียน รด. อายุไม่ถึง 30 ปีทั้งหมด ในกรณีรบกันจนหมดตัวจริงๆ ก็จะใช้กองหนุนประเภทที่ 2 ได้แก่ทหารเก่าและผู้เรียน รด. อายุ 30 ถึง 45 ปี ในปัจจุบันเรามีกำลังหลักมาก คือ 360,000 นาย กำลังสำรอง 245,000 นาย รวม 6 แสนกว่าๆ มาดูระบบใหม่กันครับ เราฝึกและปฏิบัติงานสร้างความชำนาญเป็นทหารอาชีพกัน 5 ปี ขีดความสามารถย่อมสูงขึ้นประมาณ 2 เท่าครึ่ง ทำให้ลดขนาดลงได้โดยมีศักยภาพในการทำสงครามเท่าหรือดีกว่าเดิมเพราะมีขวัญ กำลังใจสูงกว่าถูกบังคับ เวลาเกิดสงคราม เราก็ยังใช้กำลังหลัก และกองหนุนประเภทที่ 1 อยู่เช่นเดิม เพียงแต่เปลี่ยนอายุมาเป็น 18 ถึง 29 ปี ถ้าฝึกผ่าน 10 ปีไปแล้ว กำลังหลักและกำลังสำรองรูปแบบใหม่ที่เป็นกองหนุนประเภทที่ 1 ก็อยู่ครบ การเรียกระดมพลหรือเกณฑ์ก็คือ คนไทยที่อายุไม่เกิน 29 ปีที่ยังไม่ได้สมัครเป็นทหาร ตอนนี้เรามีอัตราการเกิดปีละประมาณ 3 แสนคน สมมติว่าเกณฑ์ชายไทยได้รุ่นอายุละ 50,000 คน เป็นเวลา 12 ปี ก็จะได้จำนวน 6 แสนคน รวมกำลังหลัก (ทหารกองประจำการและกำลังประจำการอื่น)และกองหนุนเดิมที่ฝึกอีก 3-4 แสนคน ก็ได้ถึงประมาณ 1 ล้านคน คำถามสำคัญคือกลัวว่าจะเกณฑ์ไม่ทัน คำตอบคือ สงครามโลกทั้ง 2 ครั้งไทยเรามีเวลาเตรียมตัวเพียงพอ สงครามครั้งต่อไปแม้ว่าจะเร็วขึ้น แต่คนไทยก็จะมีอัตราความเร็วในการตอบสนองเร็วตามเป็นธรรมชาติ ที่สำคัญคือ ไม่ใช่ว่าเราไม่มีทหารเลยต้องรอการเกณฑ์ก่อน ตรงกันข้ามเรามีทหารอาชีพที่มีอาวุธและเทคโนโลยีที่ทันสมัยกว่าเดิม ทั้งหญิงและชายทำการรบหากมีไปก่อนล่วงหน้าแล้ว และในระยะเปลี่ยนผ่านกำลังสำรองทุกแหล่งยังคงทำหน้าที่อยู่จนกว่าจะพ้นราชการประเภทที่ 1 เมื่ออายุ 46 ปีบริบูรณ์ ดังนั้นหากมีความรู้ทางด้านการทหารเพียงพอ ข้อสงสัยนี้ไม่น่าจะเกิดขึ้น ขอย้ำว่าไม่มีการยกเลิกการเกณฑ์ทหาร เราจะเกณฑ์เมื่อใกล้เกิดภาวะสงครามโดยคณะรัฐมนตรีมีหน้าที่ประเมินและออกพระราชกฤษฎีกาเกณฑ์ได้ไม่เกิน 1 ปี โดยมุ่งให้ฝึกขั้นต้น 3 เดือนและขั้นสูงอีก 3 เดือนเสร็จสิ้น อีก 6 เดือนรอดูท่าทีทางการเมืองระหว่างประเทศ ถ้าจะมีสงครามก็พร้อม นี่คือการพักการเกณฑ์ทหารและใช้การสมัครใจไม่บังคับแทนการเกณฑ์แบบเดิมครับ