“สมคิด”ย้ำปีหน้าตั้งเป้าหมายให้ไทยขยับอันดับความยากง่ายในการทำธุรกิจสู่ 1 ใน 20 อันดับประเทศทั่วโลก ขณะที่ขุนคลังชง ครม.ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่ม มั่นใจโดนใจทุกฝ่าย นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังการประชุมการจัดอันดับความยากง่ายในการทำธุรกิจ (Ease of doing business)ว่า ในปีหน้าตั้งเป้าหมายให้ไทยขยับอันดับความยากง่ายในการทำธุรกิจสู่ 1 ใน 20 อันดับ จากปัจจุบันอยู่ในอันดับ 26 จาก 190 ประเทศทั่วโลก มั่นใจว่าสามารถทำได้ แม้ว่ายังมีอีกหลายปัจจัยที่ไทยจำเป็นต้องพัฒนา ทั้งเรื่องการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งที่ผ่านมาทำไปเยอะแล้ว แต่ยังไม่สามารถสื่อไปถึงผู้ใช้ รวมถึงธนาคารโลกให้เข้าใจสิ่งที่เราทำได้ ทั้งนี้ได้มอบนโยบายให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) จะต้องทำให้คนไทยรู้ว่าความยากง่ายในการทำธุรกิจสำคัญอย่างไร ไม่ใช่แค่การทำธุรกิจ แต่ยังมีความสำคัญในเชิงธุรกิจและสังคม เพราะการลงทุนจากต่างประเทศได้ให้ความสำคัญกับการจัดอันดับดังกล่าว ถ้าไทยสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในส่วนนี้ได้ จะทำให้เกิดความลื่นไหลในการทำธุรกิจ เศรษฐกิจดีขึ้น ผลประโยชน์ที่มีต่อประชาชน เวลาติดต่อราชการก็ง่ายขึ้น อุปสรรคในอดีตจะหมดไป ส่วนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในขณะนี้มีส่วนที่เกี่ยวข้องค่อนข้างมาก ทั้งเรื่องการส่งออก เรื่องค่าครองชีพ เรื่องการเบิกจ่ายของภาครัฐ และการช่วยเหลือเกษตรกร การขับเคลื่อนเศรษฐกิจนั้นเครื่องยนต์เหล่านี้ต้องเดินไปข้างหน้าทุกตัว ที่ผ่านมากระทรวงการคลังได้ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นมาตรการเฉพาะส่วนที่กระทรวงการคลังเกี่ยวข้องที่คิดแล้วว่าจะทำอย่างไรเพื่อให้การบริโภคขยายตัวได้มากขึ้น มีเงินไหลเวียนในระบบมากขึ้น คนจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น เอกชนลงทุนมากขึ้น ตรงนี้คือส่วนที่กระทรวงการคลังทำได้ แต่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอื่นๆต้องไปถามหน่วยงาน หรือผู้ที่รับผิดชอบ นายอุตตม สาวนายน รมว.การคลังกล่าวว่า เรื่องเศรษฐกิจต้องดูแลในหลายด้าน ทั้งด้านอุปโภคก็มีความจำเป็นต้องดูแลให้หมุนเวียน ดูแลให้ประชาชนเข้าถึงในสิ่งที่จำเป็น ดูแลการลงทุนของผู้ประกอบการและภาคเกษตร ทั้งหมดต้องดูแลให้เหมาะสม ส่วนของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต้องมีการพิจารณาให้เหมาะสมว่าจะออกมาในแต่ละช่วงเวลาต่างๆ ขอให้รอดู เพราะมีขั้นตอนต้องดำเนินการตามขั้นตอนให้เรียบร้อยก่อน ต้องให้ผ่านการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี(ครม.) "มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ได้ดำเนินการมารู้สึกได้หลายแบบที่บอกว่าได้ผลก็มีอยู่ แต่คิดว่าประเด็นหลักอยู่ที่ว่าจะอยู่นิ่งเฉยไม่ได้ในภาวะแบบนี้ต้องมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมา ทุกฝ่ายต้องช่วยกันทั้งรัฐ เอกชน ไม่เช่นนั้นปล่อยไปเฉยๆ ความมั่นใจไม่มี ความรู้สึกหดหู่ยิ่งไปกันใหญ่ วันนี้คิดว่าตัวเลขเศรษฐกิจสะท้อนจากรายไตรมาสเริ่มผงกหัวดีขึ้น เราต้องทำต่อไป ไม่ใช่รอดูเฉยๆ ขอให้ติดตามดูว่าจะมีมาตรการอะไรออกมา"