อคส.ชี้แจงเงื่อนไขการควบคุมขนย้ายข้าวเสื่อม เพื่อไม่ให้ข้าวจำนวนดังกล่าวรั่วไหลออกมาในตลาดข้าวเพื่อการบริโภคของประชาชน 17 มี.ค.พล.ต.ท. ไกรบุญ ทรวดทรง ประธานกรรมการองค์การคลังสินค้า ( อคส.) เปิดเผยว่าในการชี้แจงเงื่อนไขการควบคุมขนย้ายข้าวเสื่อม ว่า หลังจากที่กรมการค้าภายใน(คต.) ได้เปิดให้ผู้สนใจเสนอราคาประมูลข้าวในสต็อกรัฐบาลปริมาณ 3.66 ล้านตัน เพื่อใช้ในอุตสาหกรรมที่ไม่ใช่การบริโภคของคนครั้งแรกในปีนี้ในวันที่ 23 มี.ค.60 เพื่อไม่ให้ข้าวจำนวนดังกล่าวรั่วไหลออกมาในตลาดข้าวเพื่อการบริโภคของคน อคส.และองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร(อตก.) จึงได้ร่วมกันชี้แจงต่อผู้ที่สนใจ เพื่อป้องกันการรั่วไหลที่อาจจะเกิดขึ้น เพื่อให้ข้าวไปสู่ภาคอุตสาหกรรมอย่างแท้จริง และย้ำว่าหน่วยงาน อคส.มีหน้าที่สนองนโยบายภาครัฐหากมีการระบุมาว่าข้าวที่จะนำออกมาประมูลเป็นข้าวเสื่อมก็ต้องนำออกมาประมูลตามเงื่อนไข ทั้งนี้การเสนอซื้อนั้น ผู้ที่จะเสนอซื้อได้ต้องเป็นนิติบุคคลได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานอุตสาหกรรมตามกฎหมาย และต้องแจ้งสัตถุประสงค์และประเภทของอุตสาหกรรมที่จะนำข้าวสารไปใช้ ซึ่งมาตรการควบคุม ทางการจะมีการตรวจสอบโรงงานอุตสาหกรรมก่อนทำสัญญา และหากพบว่าถูกต้องและผู้ซื้อได้ทำสัญญา พร้อมกับวางหลักประกัน ชำระเงิน ได้ใบส่งสินค้า หรือใบขายเงินสดแล้ว จะต้องต้องส่งใบส่งสินค้า เอกสารมอบอำนาจ และสำเนาใบขับขี่ และทะเบียนรถ ที่จะขนย้ายข้าวออกจากคลังให้ทางการรู้ โดยจะมีหัวหน้าคลังทั้งต้นทาง และปลายทางคอยตรวจสอบ ซึ่งเงื่อนไขนี้อตก.และอคส.ได้ผ่อนปรนให้กับผู้ที่ประมูลจากเดิมที่ต้องไปขออนุญาตการเคลื่อนย้ายข้าวจากสำนักงานพาณิชย์จังหวัด นอกจากนี้ยังต้องมีการซีลรถบรรทุกที่ขนข้าว มีการติดตามการควบคุมการขนย้ายข้าวด้วยระยะเวลา และรายงานผ่านระบบออนไลน์ ซึ่งเส้นทางในการขนย้ายนั้น ได้การกำหนดเส้นทาง พร้อมกับมีจุดตรวจของตำรวจทางหลวงคอยตรวจสอบ ขณะที่คลังปลายทาง ที่จะเก็บข้าวจะต้องมีการติดตั้งกล้อง CCTV และต้องรายงานข้อมูลสินค้า ผ่านเว็บไซต์ www.pwo.co.th และเมื่อขนย้ายข้าวถึงคลังปลายทางเรียบร้อยแล้วโดยสามารถขนย้ายในช่วงเวลากลางคืนได้จากเดิมที่กำหนดว่าหลัง 18.00 น.ต้องหยุดขนย้าย ทั้งนี้ ทางอคส. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะสุ่มตรวจปริมาณ การนำเข้าสู่อุตสาหกรรม ซึ่งการผ่อนคลายเงื่อนไขดังกล่าวเป็นผลมาจากการประมูลข้าวเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมในรอบที่ผ่านมาไม่มีปัญหาเรื่องการรั่วโหล และจะเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับเอกชนมากขึ้นในการขนย้ายข้าวได้ตรงตามระยะเวลาที่กำหนด สำหรับผู้ซื้อต้องชำระเงินรับมอบ และขนย้ายข้าวสารทั้งหมดตามระเบียบที่กำหนดไว้ โดยหากปริมาณซื้อไม่เกิน 10,000 ตัน รับมอบต้องแล้วเสร็จภายใน 20 วันนับจากทำสัญญา แต่หากซื้อเกิน 300,000 ตันขึ้นไป ต้องขนย้ายให้แล้วเสร็จภายใน 210 วัน นับจากวันทำสัญญา โดยหากผู้ซื้อชำระค่าข้าวสารครบถ้วน แต่รับมอบและขนย้ายไม่แล้วเสร็จตามสัญญา แต่ผู้ซื้อตกลงรับภาระค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษาข้าวที่เหลือปริมาณรวมถึงค่าใช้จ่าย อื่นๆ ตั้งแต่วันที่ครบกำหนดจนถึงวันที่ได้การขนย้ายข้าวจนครบ ผู้ซื้อไม่ต้องชำระค่าปรับ แต่ถ้าผู้ซื้อชำระเงินค่าข้าวสารไม่ครบถ้วน และยังรับมอบรวมถึงขนย้ายข้าวไม่แล้วเสร็จตามสัญญา ผู้ซื้อจะต้องชำระค่าปรับ เป็นรายวัน ในอัตรา 0.2% ของมูลค่าข้าวสารที่ยังไม่ได้รับมอบ รวมถึงค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษา และค่าใช้จ่ายอื่นๆทั้งหมด นับตั้งแต่วันที่ครบสัญญา จนถึงวันที่ขนย้ายรับมอบแล้วเสร็จ และหากพบว่าผู้ซื้อไม่นำเข้าสารเข้าสู่กระบวนการผลิตทางอุตสาหกรรมตามที่ได้แจ้งในวัตถุประสงค์ไว้ต้องมีการชำระค่าปรับในอัตรา 25% ของมูลค่าข้าวสารที่ไม่ได้นำเข้าสู่กระบวนการอุตสาหกรรม และหาก อคส.เลิกสัญญา ผู้ซื้อจะต้องชำระค่าเสียหายเป็นค่าปรับ ในอัตรา 25% ของมูลค่าปริมาณข้าวสาร ที่ยังไม่ได้รับมอบและขนย้าย รวมทั้งจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมายทั้งแพ่งและอาญาด้วย ขณะที่สมาคมผู้ตรวจสอบสินค้าเกษตรไทย ระบุว่า ข้าวเสื่อมที่เตรียมเปิดระบายในครั้งนี้ จากการไปตรวจสอบคุณภาพข้าวในคลังที่นำมาประมูล ทั้งคลังที่กำแพงเพชร ชัยนาท นครสวรรค์ สุพรรณบุรี มีบางส่วนที่ยังสามารถนำมาปรับปรุง เพื่อการบริโภคของคนได้ เพราะคุณภาพยังดีอยู่ จึงเสนอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบซ้ำ เพื่อคัดแยกข้าวที่ได้คุณภาพและไม่มีคุณภาพอีกครั้งหนึ่ง เพราะเป็นห่วงว่าถ้ารัฐยังขายข้าวคุณภาพที่บริโภคได้ ในราคาอาหารสัตว์ หรือราคาสำหรับนำไปใช้เป็นพลังงาน จะทำให้รัฐเสียหายอย่างมาก ซึ่งก่อนหน้านี้ สมาคมฯได้ยื่นคัดค้านการระบายข้าวล็อตนี้ไปแล้ว แต่รัฐบาลยังยืนยันที่จะเดินหน้าประมูลต่อไป