เมื่อเวลา 03.20 น. วันที่ 21 พ.ย. ร.ต.ท.เอกชัย อินนิมิตร รอง สว.(สอบสวน) สน. เพชรเกษม รับแจ้งเหตุเพลิงไหม้บ้านเรือนประชาชน ภายในอู่รถประจำทาง เลขที่ 85/1 ภายในซอยบางแค 6 ถนนบางแค แขวงบางแค เขตบางแค จึงรุดไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ พร้อมด้วย พ.ต.อ.วุฒิชัย ไทยวัฒน์ ผกก.สน.เพชรเกษม รถดับเพลิงบรรเทาสาธารณะภัย สถานีดับเพลิงบางแค เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน แพทย์นิติเวช รพ.ศิริราช และเจ้าหน้าที่มูลนิธิร่วมกตัญญู
ที่เกิดเหตุอยู่ภายในอู่รถประจำทางร่วมบริการสาย 17 ของบริษัทพรดำรงขนส่ง จำกัด วิ่งระหว่างบางแค-วัดสิงห์ ซึ่งต้นเพลิงเกิดมาจากบ้านพักคนงานลักษณะเป็นบ้าน 2 ชั่น ครึ่งไม้ครึ่งปูนสองชั้น แบ่งเป็นชั้นล่าง จำนวน 4 ห้อง ชั้น 2 จำนวน 4 ห้อง รวมเป็น 8 ห้อง เมื่อเจ้าหน้าที่ดับเพลิงไปถึงพบเพลิงกำลังลุกไหม้บ้านดีงกล่าวทั้งหลัง จึงระดมใช้หัวฉีดน้ำกว่า 5 หัว เร่งทำการฉีดน้ำเพื่อไม่ให้เพลิงลุกลามไปยังบ้านเรือนใกล้เคียง โดยเจ้าหน้าที่ใช้เวลากว่า 30 นาที จึงจะสามารถควบคุมเพลิงไว้ได้จนเพลิงสงบในที่สุด จากนั้นเจ้าหน้าที่จึงเข้าทำการตรวจสอบในที่เกิดเหตุ พบมีผู้เสียชีวิตอยู่ในห้องที่ 3 ชั้นล่าง จำนวน 3 ศพ ทราบชื่อต่อมาคือ นายวิชา เกิดแก่น อายุ 60 ปี น.ส.บุญมา ไทยประเสริฐ อายุ 45 ปี และ ด.ช.พีรวุฒิ แสงแก้ว อายุ 8 เดือน สภาพศพถูกไฟคลอกดำเป็นตอตะโก เจ้าหน้าที่จึงทำการชันสูตรศพผู้เสียชีวิต ก่อนจะส่งไปชันสูตรอย่างละเอียดอีกครั้งที่ รพ.ศิริราช
จากการสอบสวนนายกุลประวัติ ยิ่งสกุล เจ้าของอู่รถประจำทาง เปิดเผยว่า บ้านที่เกิดเหตุเป็นบ้าน 2 ชั้น โดยชั้นล่างเป็นปูน ชั้นที่ 2 เป็นไม้ แบ่งให้พนักงานพัก จำนวน 8 ห้อง โดยเท่าที่สอบถามจากคนงานพบว่าเพลิงเริ่มลุกไหม้จากจากห้องที่3 ชั้นล่าง ซึ่งเป็นห้องของผู้เสียชีวิต โดยห้องดังกล่าวจะพักอาศัยด้วยกันทั้งหมด 3 คน คือนายวิชา เกิดแก่น ที่เป็นพนักงานขับรถ ส่วนน.ส.บุญมา ไทยประเสริฐ ซึ่งเป็นภรรยาจะอยูห้องเลี้ยง ด.ช.พีรวุฒิ แสงแก้ว ซึ่งเป็นหลานวัย 8 เดือน
ด้านนายสุวรรณ ไข่แจ้ง ผู้ที่เห็นเหตุการณ์ เล่าว่า ช่วงเวลาที่เกิดเหตุนั้นประมาณ 03.00 น. ตนเองอาศัยอยู่ที่ห้องชั้น 2 ได้กลิ่นเหม็นไหม้จากบริเวณชั้นล่าง จึงได้เปิดประตูออกมาดู ก็พบกับกลุ่มควันและแสงเพลิง จึงได้พยายามวิ่งหนีออกมา จากนั้นไม่นานไฟก็ลุกลามไหม้ทั้งหมด
เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจสันนิษฐานสาเหตุของเพลิงไหม้ น่าจะมาจากเครื่องไฟฟ้าภายในห้องต่นเพลิงซ๊อต เพราะโดยกิจวัตรของน.ส.บุญมา จะตื่นมาหุงข้าวทำอาหารให้สามีตอนประมาณตี2 ตี3 ทุกวัน ประกอบกับสายไฟของบ้านพักงานหลังนี้เก่ามาก อาจทำการเกิดการซ๊อตจนเป็นเหตุให้เกิดเพลิงไหม้ก็เป็นได้ แต่อย่างไรก็ตามต้องรอผลการตรวจสอบอย่างละเอียดของกองพิสูจน์หลักฐาน(พฐ.) อีกครั้ง
ที่เกิดเหตุอยู่ภายในอู่รถประจำทางร่วมบริการสาย 17 ของบริษัทพรดำรงขนส่ง จำกัด วิ่งระหว่างบางแค-วัดสิงห์ ซึ่งต้นเพลิงเกิดมาจากบ้านพักคนงานลักษณะเป็นบ้าน 2 ชั่น ครึ่งไม้ครึ่งปูนสองชั้น แบ่งเป็นชั้นล่าง จำนวน 4 ห้อง ชั้น 2 จำนวน 4 ห้อง รวมเป็น 8 ห้อง เมื่อเจ้าหน้าที่ดับเพลิงไปถึงพบเพลิงกำลังลุกไหม้บ้านดีงกล่าวทั้งหลัง จึงระดมใช้หัวฉีดน้ำกว่า 5 หัว เร่งทำการฉีดน้ำเพื่อไม่ให้เพลิงลุกลามไปยังบ้านเรือนใกล้เคียง โดยเจ้าหน้าที่ใช้เวลากว่า 30 นาที จึงจะสามารถควบคุมเพลิงไว้ได้จนเพลิงสงบในที่สุด จากนั้นเจ้าหน้าที่จึงเข้าทำการตรวจสอบในที่เกิดเหตุ พบมีผู้เสียชีวิตอยู่ในห้องที่ 3 ชั้นล่าง จำนวน 3 ศพ ทราบชื่อต่อมาคือ นายวิชา เกิดแก่น อายุ 60 ปี น.ส.บุญมา ไทยประเสริฐ อายุ 45 ปี และ ด.ช.พีรวุฒิ แสงแก้ว อายุ 8 เดือน สภาพศพถูกไฟคลอกดำเป็นตอตะโก เจ้าหน้าที่จึงทำการชันสูตรศพผู้เสียชีวิต ก่อนจะส่งไปชันสูตรอย่างละเอียดอีกครั้งที่ รพ.ศิริราช
จากการสอบสวนนายกุลประวัติ ยิ่งสกุล เจ้าของอู่รถประจำทาง เปิดเผยว่า บ้านที่เกิดเหตุเป็นบ้าน 2 ชั้น โดยชั้นล่างเป็นปูน ชั้นที่ 2 เป็นไม้ แบ่งให้พนักงานพัก จำนวน 8 ห้อง โดยเท่าที่สอบถามจากคนงานพบว่าเพลิงเริ่มลุกไหม้จากจากห้องที่3 ชั้นล่าง ซึ่งเป็นห้องของผู้เสียชีวิต โดยห้องดังกล่าวจะพักอาศัยด้วยกันทั้งหมด 3 คน คือนายวิชา เกิดแก่น ที่เป็นพนักงานขับรถ ส่วนน.ส.บุญมา ไทยประเสริฐ ซึ่งเป็นภรรยาจะอยูห้องเลี้ยง ด.ช.พีรวุฒิ แสงแก้ว ซึ่งเป็นหลานวัย 8 เดือน
ด้านนายสุวรรณ ไข่แจ้ง ผู้ที่เห็นเหตุการณ์ เล่าว่า ช่วงเวลาที่เกิดเหตุนั้นประมาณ 03.00 น. ตนเองอาศัยอยู่ที่ห้องชั้น 2 ได้กลิ่นเหม็นไหม้จากบริเวณชั้นล่าง จึงได้เปิดประตูออกมาดู ก็พบกับกลุ่มควันและแสงเพลิง จึงได้พยายามวิ่งหนีออกมา จากนั้นไม่นานไฟก็ลุกลามไหม้ทั้งหมด
เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจสันนิษฐานสาเหตุของเพลิงไหม้ น่าจะมาจากเครื่องไฟฟ้าภายในห้องต่นเพลิงซ๊อต เพราะโดยกิจวัตรของน.ส.บุญมา จะตื่นมาหุงข้าวทำอาหารให้สามีตอนประมาณตี2 ตี3 ทุกวัน ประกอบกับสายไฟของบ้านพักงานหลังนี้เก่ามาก อาจทำการเกิดการซ๊อตจนเป็นเหตุให้เกิดเพลิงไหม้ก็เป็นได้ แต่อย่างไรก็ตามต้องรอผลการตรวจสอบอย่างละเอียดของกองพิสูจน์หลักฐาน(พฐ.) อีกครั้ง