ภายหลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้สถานภาพความเป็น ส.ส.ของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่สิ้นสุดลง เนื่องจากนายธนาธรได้ยื่นสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส. ในขณะที่ยังคงถือหุ้นบริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด ซึ่งประกอบธุรกิจสื่อมวลชน ทำให้เข้าข่ายมีคุณสมบัติไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญปี 2560 มาตรา 98 (3) ประกอบมาตรา 42 (3) ของพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561 ถือได้ว่า เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส. นั้น นายชูชาติ ศรีแสง อดีตผู้พิพากษาศาลฎีกาได้ให้ความรู้ด้านกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับกรณีดังกล่าวผ่านเฟซบุ๊คส่วนตัวว่า รัฐธรรมนูญมาตรา 211 วรรคสี่บัญญัติว่า คําวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้เป็นเด็ดขาด มีผลผูกพันรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล องค์กรอิสระ และหน่วยงานของรัฐ และการที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ในวันสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส.นายธนาธรถือหุ้นในธุรกิจสื่อมวลชนจึงมีคุณสมบัติต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส. จึงเป็นเด็ดขาดและมีผลผูกพันทุกองค์กรตามรัฐธรรมนูญ ดังนั้นการกระทำของนายธนาธรจึงน่าจะเข้าข่ายเป็นการกระทำตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2561 "มาตรา 151 บัญญัติว่า ผู้ใดรู้อยู่แล้วว่าตนไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเนื่องจากขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกต้ังเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ได้สมัครรับเลือกตั้งหรือทําหนังสือยินยอมให้พรรคการเมืองเสนอรายชื่อเพื่อสมัครรับเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ ต้องระวางโทษจําคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาทและให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้นั้นมีกําหนดยี่สิบปี จึงเป็นหน้าที่ของ กกต.ที่จะต้องดำเนินการให้มีการฟัองนายธนาธรต่อศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีอาญาเพื่อพิจารณาพิพากษาตามมาตรา 151 ต่อไป