“วิษณุ” ปัดแจง หนังสือเรียกของกมธ.ป.ป.ช. ชี้ เป็นเรื่องของ "นายกฯ-บิ๊กป้อม" เผย เปลี่ยนตัวปธ.ได้ แต่ต้องดูเหตุ เบื้องต้นยัน เป็นโควต้าฝ่ายค้าน ตามที่ตกลงกัน วันที่ 18 พ.ย.62 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวกรณีที่พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ส.ส.บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (กมธ.ป.ป.ช.)สภาผู้แทนราษฎร ออกหนังสือเชิญโดยใช้อำนาจรัฐธรรมนูญ มาตรา129 วรรค4 และพ.ร.บ.คำสั่งเรียก ออกหนังสือเชิญนายกรัฐมนตรีและพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ไปชี้แจงต่อกมธ.ป.ป.ช.อีกครั้ง ถือเป็นคำสั่งที่ชอบหรือไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ว่า ตนไม่ทราบเรื่องดังกล่าว เนื่องจากสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เป็นผู้ทำหนังสือชี้แจงของนายกฯและรองนายกฯ ซึ่งทางสำนักนายกฯไม่ได้ปรึกษาตน เป็นเรื่องของฝ่ายการเมืองคือนายกฯและสภาฯ ผู้สื่อข่าวถามว่า การลงมติของกมธ.ป.ป.ช.เมื่อวันที่ 13 พ.ย.ที่ผ่านมา เพื่อเชิญนายกฯและพล.อ.ประวิตร มาชี้แจงเป็นครั้งที่ 4 นั้น เป็นไปตามมาตรา 129 หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า การลงมติดังกล่าวเป็นไปตามพ.ร.บ.คำสั่งเรียก ซึ่งตนไม่ทราบว่ากมธ.ดังกล่าวลงมติกันอย่างไร แต่คงไม่ใช่ตามมาตรา 129 ของรัฐธรรมนูญ เนื่องจากไม่ได้พูดถึงเรื่องดังกล่าวไว้ แม้แต่หนังสือเชิญนายกฯตนก็ไม่เห็น เมื่อถามว่าท่าทีของนายกฯ ต้องการจบเรื่องการชี้แจงแล้ว รองนายกฯ กล่าวว่า ตอบไม่ถูก ต้องถามสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เมื่อถามว่านายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ ยื่นเรื่องต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน ส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญ ตีความการใช้อำนาจประธานกมธ.ป.ป.ช. นายวิษณุ กล่าวว่า ไม่ทราบเรื่อง แต่นายไพบูลย์ ก็ยื่นต่อผู้ตรวจการฯและผู้ตรวจการฯมีมติให้ส่งเรื่องต่อศาล ส่วนผลจะเป็นอย่างไรนั้น คงไปคาดการณ์ไม่ได้ เพราะยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าศาลจะรับเรื่องหรือไม่ เมื่อถามกรณีที่นายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม.พรรคพปชร. ในฐานะกมธ.ป.ป.ช.เตรียมเสนอขอมติที่ประชุมเพื่อเปลี่ยนตัวประธานกมธ.จากพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เป็นคนอื่นสามารถทำได้หรือไม่ว่า นายวิษณุ กล่าวว่า ไม่มีข้อห้ามอะไร เป็นเรื่องของกมธ.พิจารณา ซึ่งในอดีตก็เคยมี แต่สาเหตุไม่เหมือนกัน เช่น ลาออกจึงมีการเปลี่ยนตัว เมื่อถามย้ำว่าในเมื่อตำแหน่งประธาน เป็นสัดส่วนของฝ่ายค้าน จะสามารถเปลี่ยนตัวได้หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ฝ่ายค้านก็มีอยู่หลายคน และในกมธ.มีทั้งสัดส่วนฝ่ายค้านและรัฐบาล ซึ่งต้องแบ่งโควตากันไป แต่เรื่องโควตากับตัวบุคลเป็นคนละเรื่องกัน และโควตาดังกล่าวก็ต้องเป็นของฝ่ายค้าน เพราะตกลงกันไว้แบบนั้น เว้นแต่จะตกลงกันใหม่ ทั้งนี้ไม่มีใครมาปรึกษาและพูดคุยกับตนในเรื่องนี้