เสียงไซเรนที่ดังขึ้น ก็สร้างความตื่นตระหนกให้แก่บรรดานักท่องเที่ยวต่างชาติ จำนวนไม่น้อยที่กำลังชีพจรลงเท้ายลยินและฟินกับความเป็นมรดกโลกของ “นครเวนิส” โดยเป็นเสียงไซเรน ที่ทางการของนครที่ได้ชื่อว่า เป็นเมืองที่มีคลองมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก เพื่อเตือนภัยให้ทั้งบรรดาชาวเมืองและเหล่านักท่องเที่ยวเตรียมตัว รับมือกับปรากฏการณ์ “น้ำทะเลยกตัวสูง (Acqua Alta)” ที่มวลน้ำกำลังไหลบ่าท่วมเมือง ทั้งนี้ เสียงไซเรนเตือนภัยข้างต้น ดูเหมือนว่า จะดังให้ได้ยินอยู่บ่อยๆ ในช่วงฤดูหนาวแต่ละปี เพราะมีปรากฏการณ์น้ำทะเลยกตัวสูงกันถี่ๆ ให้เห็นในช่วงนี้ จนส่งผลให้เมืองตกอยู่ในสภาพจมบาดาล เพราะน้ำท่วมสูง ทว่า ในปีนี้ ชาวเวนิสที่มีอายุวัยอาวุโส ต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า หนักหนาสาหัสกว่าแทบทุกปีที่ผ่านมา ก็สอดคล้องกับการเปิดเผยของทางการนครเวนิส โดยนายลุยจิ บรุกนาโร นายกเทศมนตรีประจำเมือง ระบุว่า ปีนี้ถือว่าหนักที่สุดในรอบ 53 ปี หรือกว่าครึ่งกึ่งศตวรรษเลยทีเดียว ด้วยตัวเลขที่วัดระดับได้ในวันที่น้ำท่วมสูงสุด เมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ปรากฏว่า ขึ้นไปถึง 1.88 เมตร ซึ่งถือเป็นระดับที่สูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2509 หรือ 53 ปี เป็นต้นมา โดยระดับน้ำของปี 2509 มากกว่าปีนี้เพียง 2 นิ้วเท่านั้น คือ 1.90 เมตร ซึ่งถือเป็นเหตุน้ำท่วมใหญ่เป็นประวัติการณ์ของนครเวนิสเลยทีเดียว อย่างไรก็ดี แม้ว่าเหตุน้ำท่วมใหญ่ของเมืองเวนิสในปีนี้ จะน้อยกว่าเมื่อ 53 ปีที่แล้ว อยู่ราว2 นิ้ว แต่ทางการของนครก็ยอมรับ สร้างความเดือดร้อน ส่งผลกระทบ ก่อความเสียหายให้แก่นครแห่งนี้อย่างใหญ่หลวง ทั้งต่อชีวิตและทรัพย์สิน รายงานความสูญเสียในชีวิตของผู้คน ก็ปรากฏว่า เซ่นสังเวยไปแล้วอย่างน้อย 6 ราย ส่วนในเรื่องทรัพย์สิน นอกจากบ้านเรือนของประชาชน และร้านรวงต่างๆ แล้ว ก็มีความเสียหายของโบราณสถาน ที่ได้รับการยกย่องให้เป็น “มรดกโลก” แห่งนครเวนิสอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น “มหาวิหารซันมาร์โก” หรือ “มหาวิหารเซนต์มาร์ก (St.Mark's Basilica)” โบสถ์คริสตศาสนา นิกายโรมันคาทอลิก ประจำเมือง ซึ่งถูกสร้างขึ้นอุทิศแด่เซนต์มาร์ก ผู้ได้รับการนับถือว่า เป็นนักบุญประจำเมืองเวนิส เมื่อราว 1,200 ปีที่แล้ว ต่อเนื่องไปยังลานจตุรัสมหาวิหารซันมาร์โก สถานท่องเที่ยวและแหล่งชุมนุมของชาวเมืองเวนิส ซึ่งเป็นส่วนเชื่อมต่อไปยัง “พระราชวังปาลัซโซดูกาเล” หรือที่หลายคนเรียกว่า “พระราชวังดอจ” ที่มีอายุเก่าแก่เกือบ 700 ปี ปัจจุบัน พระราชวังดังกล่าว ถูกตกแต่งให้เป็นพิพิธภัณฑ์ของนครเวนิส โดยในจุดบริเวณดังกล่าวที่ระบุมา ต้องถือว่าเป็นพื้นที่ต่ำที่สุดของเมืองเลยก็ว่าได้ ถูกน้ำท่วมทุกปี แต่ปีนี้หนักหนาสาหัสเป็นรองเพียงเมื่อปี 2509 ตามที่กล่าวแล้วข้างต้น ก็ส่งผลให้หลายฝ่ายก็วิตกกังวลว่า น้ำที่ท่วมสูงจะสร้างความเสียหายให้แก่โบราณสถานจนน่าเป็นห่วง เพราะจากการประเมินสภาพของมหาวิหารซันมาร์โก อันเป็นโบสถ์ประจำเมือง และถูกน้ำท่วมหนักที่สุด ก็ปรากฏว่า แลดูทรุดโทรมลงไปอีกถึง 20 ปี ทันทีที่ถูกน้ำท่วมหนักเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ส่วนความเสียหายก็ต้องได้รับการประเมินอย่างละเอียดกันอีกที ทั้งนี้ ผลพวงจากเหตุน้ำท่วมหนักเป็นประวัติการณ์ดังกล่าว ทางการเวนิส ก็ได้ประกาศให้เป็นพื้นที่ที่อยู่ในภาวะฉุกเฉิน (State of Emergency) อย่างไรก็ตาม บรรดาประชาชนชาวเมือง ระบุว่า เหตุที่นครเวนิส ต้องผจญชะตามกรรมน้ำท่วมใหญ่ในปีนี้ นอกเหนือจากการได้รับผลกระทบจากวิกฤติสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง หรือภาวะโลกร้อนแล้ว ปัญหาทุจริตคอร์รัปชันของทางการอิตาลี ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลกลาง และรัฐบาลท้องถิ่น ก็มีส่วนสำคัญไม่น้อยที่ทำให้สถานการณ์เลวร้ายหนัก ทั้งในด้านความล่าช้าของทางการที่ทำให้ระบบป้องกันน้ำท่วมไม่ทันท่วงที หรือแม้แต่โครงการก่อสร้างอุปกรณ์ หรือสิ่งต่างๆ เพื่อเตรียมการรับมือก็ต้องบอกว่า มีการโกงกินด้วย เพราะอุปกรณ์ หรือสิ่งที่จะเตรียมไว้สำหรับรับมือที่ว่า ปรากฏว่า ยังไม่ทันนำออกมาใช้แต่ก็เกิดสนิมผุกร่อนกันเสียก่อนแล้ว ประชาชีชาวเมืองเวนิสต่างพากันส่งเสียงก่นประณามกันด้วยประการฉะนี้