ชัยชนะเหนือ “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ของ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ด้วยสกอร์ ไม่คาดคิด 3-1 ทำให้ “หงส์แดง” ทำสถิติชนะเกมเหย้า ในศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ได้เป็นนัดที่ 13 ติดต่อกัน โดยเทียบเท่าสถิติเดิมที่เคยทำเอาไว้เมื่อปี 1985 หรือเมื่อ 34 ปีมาแล้ว ชัยชนะเหนือ “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 3-1 นอกจากจะทำให้ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล นำเป็นจ่าฝูง มี 34 คะแนน จากการลงเล่น 12 นัด ทำแต้มฉีกหนี “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้ไปเป็น 9 คะแนนและเหนือกว่า “สุนัขจิ้งจอก” เลสเตอร์ซิตี้ รองจ่าฝูง อยู่ 8 คะแนน ยังเป็นสถิติการเก็บคะแนนที่มากที่สุดในพรีเมียร์ลีก เทียบเท่ากับ “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่ทำเอาไว้เมื่อฤดูกาล 2011/12 และ 2017/18 อีกด้วย หากย้อนกลับไปเมื่อ 30 ปีที่ผ่านมา “หงส์แดง” ลิเวอร์พูลเคยเป็นแชมป์ลีกสูงสุด(ดิวิชัน 1 เดิม)เป็นครั้งสุด ท้าย และในฤดูกาล 2019-20 ในครั้งนี้ นับเป็นอีกหนึ่งในไม่กี่ฤดูกาลที่ถ้วยแชมป์ลีกจะตกอยู่ในมือของ “หงส์แดง”ลิเวอร์พูล หลังคว่ำแชมป์เก่าได้สำเร็จ ลองนับดู 12 เกมแรกผ่านไป คิดเป็นเกือบ 1 ใน 3 ของซีซั่น “โมเมนตัม” ในการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกของ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล เป็นสมัยแรกในรอบ 30 ปี และเป็นประวัติศาสตร์ ของการคว้าแชมป์ลีกสูงสุดเป็นครั้งแรกอยู่ในกำมือ เพราะเวลานี้ยังไม่สามารถมองหาเหตุผลอะไร ที่จะทำให้ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูลพลาดท่าในฤดูกาลนี้ได้เลย ยิ่งดูฟอร์มโดยร่วมของ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูลในฤดูกาลนี้ ต้องยอมรับว่าร้อนแรง ไม่มีที่ติ หลังฤดูกาลที่ผ่านมา 2018-19 “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ทำได้เพียงฉิวเฉียด ทำได้ 97 คะแนน เสียท่าให้ “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้เพียงคะแนนเดียว โดยปัญหาที่เกิดขึ้น คือการยืนระยะที่ไม่ต่อเนื่อง รวมทั้งสภาพจิตใจที่ไม่แข็งแกร่งพอของนักเตะ ที่จะรับมือกับความกดดัน ในการไล่จี้ของ “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้ได้ และยิ่งแล้วใหญ่คือ การสูญเสียนักเตะคีย์แมนหลังจากโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมให้กับพวกเขา เมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา แต่มาถึงฤดูกาลนี้ 2019-20 สิ่งที่เคยเกิดขึ้นกลับ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ไม่มีให้เห็นเลย และการที่ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล บินสูงขนาดนี้ได้ นอกจากโชคแล้ว สิ่งที่พวกเขามีในทุกนัดที่ลงสนาม คือ ความกระหาย และมุ่งมั่นที่ต้องการจะพิชิตคู่แข่งตรงหน้าลงให้ได้ ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม หลายๆเกมส์ในฤดูกาลนี้ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูลได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วในหลาย ๆ เกมที่พวกพลิกสถานการณ์กลับมาคว้าชัยได้ แม้จะเป็นฝ่ายตามหลังก่อนก็ตาม เช่นในเกมส์ แมนฯ ยูไนเต็ด ที่พลพรรค “เรด แมชีน” สามารถยิงตีเสมอได้ในช่วงท้ายเกม หรือเกมกับ “ไก่เดือยทอง” สเปอร์ส ที่ยิง 2 ประตู พลิกแซงชนะในช่วงครึ่งหลัง และเกมที่ต้องบอกว่าเหลือเชื่อที่สุด คงหนีไม่พ้น “แอสตัน วิลลา” ที่หลายคนคงฝันว่า ทีมนี้จะยัดเยียดความปราชัยเป็นนัดแรกให้กับทีมจ่าฝูงลงได้ พวกผิดถนัด “หงส์แดง” ลิเวอร์พูลยังไม่หมดหวัง แต่กลับมายิง 2 ประตูรวดในช่วงท้ายเกม ซึ่งประตูชัยของ “ซาดิโอ มาเน” นั้น เกิดขึ้นในนาทีที่ 90+4 พลิกกลับมาชนะได้ในที่สุด เกมเหล่านี้ทำให้เราเห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่า ความมุ่งมั่นของพวกเขามีมากมายขนาดไหน และนั่นเป็นสิ่งที่ทำให้พวกจะไม่มีทางปล่อยมือจากคำว่า “ชัยชนะ” เลยจนกว่าจะได้ยินเสียงนกหวีดยาวจากผู้ตัดสิน ผ่านมาจนถึงตอนนี้ เท่ากับว่า พลพรรค “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล พบกับทีมระดับหัวตารางครบแล้วบิ๊ก 6 ทีมในเกม พรีเมียร์ลีก ไม่ว่าจะเป็น ชนะ อาร์เซนอล 3-1 บุกไปเชือด เชลซี 1-2 บุกเสมอ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 1-1 ชนะสเปอร์ส 2-1, ชนะแมนเชสเตอร์ ซิตี้ 3-1 หรือแม้แต่ทีมม้ามึดอย่าง เลสเตอร์ พวกเขาก็เฉือนเอาชนะมาแล้ว 2-1 รวม ชนะ 5 เสมอ 1 แพ้ 0 ซึ่งจากสถิติดังกล่าวมานี้เป็น 6 เกมสำคัญ ในช่วงครึ่งซีซั่นแรก ที่พวกเขาจำเป็นต้องโกยแต้มให้ได้มากที่สุด และก็จัดว่า “พลพรรคเดอะค็อป” ทำได้อย่างยอดเยี่ยมไร้ที่ติทีเดียว ในการทุบอุปสรรคก้อนโตที่ขวางหน้าพวกเขาบนเส้นทางการลุ้นแชมป์ พรีเมียร์ลีก ฤดูกาลนี้ แต่แน่นอนว่ายังด่วนสรุปไม่ได้ว่าพวกเขาจะชนะรวดในอีก 21 เกมที่เหลือ ในการพบกับทีมนอกกลุ่มบิ๊ก 6 แต่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ก็เป็นสัญญาณที่ดีว่าพวกเขาผ่าน 1 ใน 3 ของเส้นทางมาแล้ว และทุกอย่างมันดูเหมือนจะเป็นใจให้ยอดทีมจากเมอร์ซีย์ไซด์คาดหวังถึงการคว้าแชมป์ในรอบ 30 ปีที่รอคอย ซึ่งถ้าหากพวกเขายังรักษามาตรฐานแบบนี้เอาไว้ได้ แชมป์พรีเมียร์ลีก ที่รอคอย คงไม่ใช่สิ่งที่ไกลเกินฝันอีกต่อไป โดย “จุดอ่อน” กับ “ปัญหา” ที่ “เรด แมชีน” เคยมีเมื่อครั้งอดีตถูกขจัดทิ้งไปหมดสิ้นภายใต้ กุนซือเฮฟวีเมทัล “เยอร์เกน คล็อปป์” ที่สร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกทีม สร้างหัวจิตหัวใจ ความเป็นนักสู้อยู่ตลอดเวลา 30 ปีที่รอคอย นับเป็นช่วงเวลาที่ยาวนาน แต่ความสำเร็จหลังการรอคอย มักจะหอมหวาน มากกว่าสิ่งใด ถ้าไม่เชื่อก็รอจนจบซีซันนี้ดูก็ได้ ขอเรียนตามตรงว่า “หงส์แดง” ในฤดูกาลนี้มีความเหี้ยมเกรียม โรคจิต สมบูรณ์แบบ และตายยากเกินกว่าที่จะอนุญาตให้เกิดเหตุการณ์นรกแตกชวดแชมป์อีก ง่ายๆ หากมองมาตรฐานที่พวกเขาแสดงออกมาให้เห็น นับตั้งแต่ฤดูกาลที่แล้ว รวมถึงในช่วง 12 เกมแรกของฤดูกาลปัจจุบัน บอกตรงๆ มันสูงเกินไปกว่าที่จะไปหวังลมๆ แล้งๆ ว่าพวกจะสะดุดตีนตัวเองลื่นหกล้มพลางพลาดท่าทำแต้มหล่นหายแบบง่ายๆ ตอนนี้สิ่งที่ “เดอะค็อป” ทั่วทั้งโลกต้องกลัว ไม่ใช่เรื่องการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกในรอบ 30 ปี อย่างที่พูดกันแล้ว แต่กลัวว่า “ทีมรัก” จะคว้าแชมป์แบบไร้พ่าย และทำลายจิตใจแฟนบอลทีมโปรดต่างหาก ภาพ:AFP