มหากรรมส่งท้ายปีในการแจกเงินกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ไฟเขียวงบประมาณผ่านกระทรวงการคลัง กับโครงการ “ชิม ช้อป ใช้" 3 เฟส จำนวนผู้ได้สิทธิ 15 ล้านคน วงเงินอัดฉีดกว่าหมื่นล้าน ตามมาด้วยการกระตุ้นการท่องเที่ยวในช่วงสิ้นปี เพื่อไม่ให้คนไทยออกไปเที่ยวต่างประเทศ กับแคมเปญ “100 เดียวเที่ยวทั่วไทย” ผ่านทาง www.100 เดียวเที่ยวทั่วไทย.com ที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เตรียมส่งมอบเป็นของขวัญให้คนไทยในช่วงปลายปีนี้ ทั้งนี้แนวทางการอัดฉีดเม็ดเพื่อไปกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก ซึ่งมองในภาพรวมก็เป็นเรื่องที่ดีที่รัฐบาลได้ใส่เงินตั้งต้นให้กับประชาชนนำไปใช้ พร้อมทั้งใส่กลยุทธ์ในการให้ประชาชนเพิ่มการใช้จ่ายจากการเปิดโอกาสด้านภาษีในการคืนเงิน เป็นการกระตุ้นการใช้จ่ายอีกทางหนึ่งเพื่อเป็นการหมุนเวียนเงินในระบบให้มากขึ้น อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า โครงการชิมช้อปใช้ จะทำให้เศรษฐกิจฐานล่างดีขึ้น เกิดการหมุนเวียน ซึ่งปริมาณร้านค้าและคนที่เข้าร่วมเป็นเรื่องสำคัญ อีกทั้งทำให้ประเทศได้ประโยชน์ ทั้งเรื่องการใช้เงินผ่านระบบดิจิทัลด้วย ดังนั้นอย่ามองแค่ว่าใช้เงินอย่างเดียว แต่เป็นการเปลี่ยนผ่านระบบเศรษฐกิจ แต่จะต้องไปดูว่าร้านค้าจะเพิ่มแบบไหน ใครมาร่วมบ้าง และคนที่ใช้สิทธิจะขยายอย่างไร ส่วนเรื่องงบประมาณมาดูทีหลัง ต้องดูประโยชน์ก่อน และค่อยมาจัดสรรงบประมาณ กระทรวงการคลังจะคำนึงถึงวินัยการเงินการคลังแน่นอน ส่วน “อุตตม สาวนายน” รมว.คลัง กล่าวว่า การประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจร ที่จ.กาญจนบุรี ได้ เห็นชอบ “มาตรการชิมช้อปใช้ เฟส 3” ขยายผลจากเฟส 1 และ เฟส 2 ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยเฟส 3 เปิดให้ประชาชนลงทะเบียนในวันที่ 14 พ.ย. 2562 วันละ 1 ล้านคน แบ่งเป็น 2 รอบ คือ เวลา 06.00 น. และเวลา 18.00 น. โดยจะเป็นผู้ที่ไม่เคยรับสิทธิ์เฟส 1 และ เฟส 2 อีก 2,000,000 คน ,ไม่มีแจกเงิน 1,000 บาท จะให้เฉพาะสิทธิ์ “เป๋าตัง 2” รับเงินคืน 15 % หรือไม่เกิน 4,500 บาท เมื่อใช้จ่ายไม่เกิน 30,000 บาท และรับเงินคืน 20 % หรือไม่เกิน 4,000 บาท สำหรับผู้ใช้จ่ายมากกว่า 30,000 บาท แต่ไม่เกิน 50,000 บาท ,ใช้จ่ายได้ทุกจังหวัด (ไม่ต้องลงทะเบียนจังหวัดอื่นที่ไม่ตรงกับทะเบียนบ้าน) ,รวมค่าใช้จ่ายแพ็คเกจท่องเที่ยว ที่พัก ค่าเดินทาง ตั๋วเครื่องบินในประเทศ ,กันสิทธิ์ให้ผู้สูงอายุเท่านั้น 5 แสนสิทธิ์จาก 2 ล้านสิทธิ์ และขยายเวลาสิ้นสุดมาตรการจากวันที่ 31 ธ.ค. 2562 เป็น 31 ม.ค. 2563 รองรับการใช้จ่ายในเทศกาลตรุษจีน ด้าน “ยุทธศักดิ์ สุภสร” ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า ได้เปิดให้ลงทะเบียน 2 วัน คือ 11 และ 12 พฤศจิกายน แต่ถูกจับจองเต็มอย่างรวดเร็ว ซึ่งไม่คาดคิดว่าจะได้รับการตอบดีเกินคาดขนาดนี้ วันแรกหมดภายใน 4 นาที และวันที่สองหมดภายใน 2 นาที โดย 3 อันดับแรกที่คนเลือก อันดับ 1 คือ ตั๋วเครื่องบิน อันดับ 2 คือ ตั๋วที่พัก และ 3 บัตรรับประทานอาหาร โดยรอบต่อไปที่จะเปิดให้ประชาชนลงทะเบียน คือ11และ 12 ธันวาคมนี้ สามารถลงทะเบียนรับสิทธิ์ได้ตั้งแต่เวลา 06.00-24.00 น.มีสินค้าให้เลือก 5 หมวด คือหมวดเดินทาง เช่น ตั๋วเครื่องบิน หรือรถบัสปรับอากาศ,หมวดที่พักในระดับสากล เช่น ศรีพันวา , หมวดอาหาร-เครื่องดื่ม , หมวดแพ็กเกจทัวร์ ,หมวดแหล่งท่องเที่ยว และกิจกรรมนันทนาการ ซึ่งรอบต่อไปจะเหลือทั้งหมด 20,000 รายการ จากทั้งหมด 40,000 รายการ เปิดให้ซื้อสินค้าได้วันละ10,000 รายการ หรือจนกว่าสินค้าจะหมด โดยจะแสดงจำนวนสิทธิ์คงเหลือในเว็บไซต์ด้วย ขณะที่นักวิชาการ “ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย” ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า โครงการ “ชิมช้อปใช้” เฟส 3 ตรงกับวัตถุประสงค์ของภาครัฐมากกว่าเฟส 1 เฟส 2 ตรงที่ เฟส 3 มุ่งเน้นให้ประชาชนใช้เงินของตัวเอง โดยจะไม่มีให้ เงินสด 1,000 บาท แต่จะได้การคืนเงิน เมื่อใช้จ่ายซื้อสินค้าวงเงินไม่เกิน 3 หมื่นบาท จะได้เงินคืนไม่เกิน 4,500 บาท หรือ 15% และหากเกินกว่า 3 หมื่นบาท จะได้ชดเชย 4,000 บาท หรือ 20% ของส่วนที่เกิน และครั้งนี้ยังสามารถใช้จ่ายได้ทุกจังหวัดรวมทั้งถิ่นที่อยู่อาศัย เพื่อให้เกิดการหมุนเวียนเพิ่มมากขึ้น “ทั้งนี้มาตรการที่ภาครัฐออกมากระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงโค้งสุดท้ายปลายปี 2562 ไม่ใช้เฉพาะะเทศไทยไม่ใช่ประเทศเดียวที่ต้องเผชิญกับปัญหาเศรษฐกิจในตอนนี้ แต่ทั้งโลกเผชิญเหมือนกัน เพราะฉะนั้นรัฐบาลทั่วโลกเจอกับปัญหาเดียวกัน ไม่ว่าจะฟื้นเศรษฐกิจอย่างไร หรือ ออกมาตรการอะไรมากระตุ้น ทั้งลดภาษี ปล่อยสินเชื่อ แต่เศรษฐกิจไม่ได้ฟื้นดั่งใจ เช่นเดียวกับรัฐบาลไทย ที่พยายามใช้เงินของรัฐกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งก็ต้องใช้เวลา เพียงแต่ยังไม่เกิดผล แสดงให้เห็นว่ามาตรการที่ออกมาทั้งหมดยังไม่สามารถพลิกฟื้นเศรษฐกิจได้ เพราะมาตรการบางอย่างอาจไม่ได้มีประสิทธิเท่าที่ควร เช่น โครงการ “100 เดียวเที่ยวทั่วไทย”ที่ดูหวือหวา เพราะมีคนที่เข้าร่วมโครงการได้ 4 หมื่นคน เท่านั้นที่ได้ร้อยเดียว ซึ่งไม่ได้มีเม็ดเงินหมุนสักเท่าไหร่ แต่ถ้าเขาได้เติมเงินเข้าไป เช่นถ้าไปเที่ยวไหนก็ตาม ได้ใช้เงินเพิ่มเติมอีก 1 หมื่น แล้วเอา 1 หมื่น แต่ละคนไปคูณกับอีก 4 หมื่น คน ก็เท่ากับ 400 ล้านบาท ขนาดมันน้อย เพราะชิมช้อปใช้ เฟส1 เฟส 2 รวมกัน ประมาณ 13,000 ล้านบาท ก็ยังไม่ได้ทำให้เศรษฐกิจมีความคึกคักได้อย่างรวดเร็ว เพราะฉะนั้นวงเงิน 400 ล้าน จึงเป็นส่วนน้อยที่ไม่ได้มีผลต่อเศรษฐกิจโดยตรง” ดังนั้นจึงเป็นการบ้านที่รัฐบาลอาจต้องหันมาทบทวนแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจให้เข้าเป้าแบบจังๆ มองเม็ดเงินที่อัดฉีดลงไปคุ้มค่า และตรงเป้าประชาชน! ก่อนที่ปีหน้าเศรษฐกิจไทยจะเป็นไปในทิศทางใด...ไม่มีใครคาดเดาได้!