บรรดา “ฟ้าของพ่อ”ต้องลุ้นระทึก ด้วยดีเดย์ที่ศาลรัฐธรรมนูญนัดชี้ชะตา ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ว่าจะได้เข้าไปนั่งทำหน้าที่ส.ส.ในสภาฯหรือมีอันต้องสิ้นสภาพไปจากปมถือครองหุ้นสื่อ บริษัทวี-ลัค มีเดีย จำกัด เข้าลักษณะต้องห้ามในการสมัครรับเลือกตั้งได้ขยับใกล้เข้ามาทุกขณะ และยิ่งใกล้เท่าไหร่ ก็ยิ่งมีความเคลื่อนไหวนอกศาลฯเกิดขึ้นมากเท่านั้น เริ่มจากปฏิบัติการสงครามข่าวสารในโลกออนไลน์ ที่ชิงจังหวะก่อนหน้าวันพิพากษา 20 พฤศจิกายน 2562 ด้วยการปั่นกระแส “อยู่ไม่เป็น” จนติดเทรนด์ทวิตเตอร์ ก่อนจะปักหมุดหมายนัดรวมพลเที่ยงวันเสาร์ที่ 16 พฤศจิกายน 2562 ที่ JJmall จตุจักร อย่างเป็นขั้นเป็นตอน กระนั้น “ธนาธร”ก็ปฏิเสธว่า แคมเปญ “อยู่ไม่เป็น” เป็นกิจกรรมที่จัดขึ้นเป็นประจำ ไร้นัยยะที่จะก้าวก่ายการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญแต่อย่างใด แต่การระดมมวลชนท่ามกลางบรรยากาศเช่นนี้ ก็ทำให้หวนคิดถึงคดีซุกหุ้นของ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่มีการระดมมวลชนมากดดันหน้าศาลรัฐธรรมนูญ มีการใช้สื่อมวลชนสร้างกระแส และความพยายามเบี่ยงเบนประเด็นเรื่องของการกระทำผิดกฎหมายให้เป็นเรื่องของการเมือง ถูกกลั่นแกล้ง ปลุกกระแสให้เกิดความสงสารและเห็นใจ แม้ “ธนาธร” จะเคยชี้แจงต่อตุลาการศาลรัฐธรรมนูญว่าเขาไม่ได้เข้ามาทำงานการเมืองเพื่อมีผลประโยชน์หรือบริวารห้อมล้อมเหมือน “ทักษิณ”ก็ตาม ขณะที่อดีตเพื่อนร่วมอุดมการณ์อย่าง พิชิต ไชยมงคล อดีตโฆษกกลุ่มเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) ที่เคยเคลื่อนไหวร่วมกับ “ธนาธร” สมัยอยู่ สนนท.ด้วยกัน ก็แสดงความคิดเห็นว่า ธนาธรกำลังจะทำในสิ่งที่ “ทักษิณ” เคยทำผิดพลาดมาแล้ว นั่นก็คือ การโยนความผิดของตนไปให้สังคมร่วมรับผิดชอบ “พรรคอนาคตใหม่ เอกธนาธร กำลังหลงคะแนน และเอาความผิดส่วนตัวและของพรรคไป ฟอกความผิดด้วยคะแนนการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นคะแนนของความต้องการเปลี่ยนการเมือง เสมือนยุค ทักษิณ ชินวัตร ที่บอกว่า ทำอะไรเขาไม่ได้หรอก เพราะเขามาจากการเลือกตั้ง ด้วยคะแนนเสียงของประชาชน ทั้งที่มันต้องแยกออกจากกันอย่างสิ้นเชิง ประชาชนมีความคาดหวัง หากวัดจากผลคะแนน แต่ก็ใช่ว่า พวกคุณจะเอาความคาดหวังมาเป็นผนังทองแดงกำแพงเหล็กเพื่อป้องกันความผิดของตนเองได้ ด้วยการโยนความผิดพลาดส่วนตัวและความผิดพลาดของพรรคลงไปเป็นความผิดร่วมของสังคม โดยการอธิบายว่าถูกกลั่นแกล้ง ผมคิดว่ามันเอาเปรียบความฝันของการเปลี่ยนแปลงเกินไป พรรคที่เคยทำเช่นนี้ในอดีตก็เคยมี เอามวลชนปกป้องความผิดของพรรค ด้วยวาทกรรม ประชาธิปไตย สุดท้ายคนผิด ไม่ได้อยู่ประเทศไทย ทั้งพี่ทั้งน้อง ซึ่งไม่ใช่ อยู่ไม่เป็นแต่เป็นอยู่ไม่ได้ เพราะต้องติดคุก” โดยหากศาลรัฐธรรมนูญชี้ว่า “ธนาธร” ขาดคุณสมบัติส.ส. ก็อาจจะมี “ดาบสอง” ตามมา ด้วยกกต.ตั้งแท่นไต่สวนความผิด การกระทำอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. มาตรา 151 โดยมาตรา 151ระบุว่า “ผู้ใดรู้อยู่แล้วว่าตนไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเนื่องจากขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ได้สมัครรับเลือกตั้งหรือทําหนังสือยินยอมให้พรรคการเมืองเสนอรายชื่อเพื่อสมัครรับเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ ต้องระวางโทษจําคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้นั้นมีกําหนดยี่สิบปี ในกรณีที่ผู้กระทําความผิดตามวรรคหนึ่งเป็นผู้ซึ่งได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ให้ศาลมีคําสั่งให้ผู้นั้นคืนเงินประจําตําแหน่งและประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นที่ได้รับมาเนื่องจากการดํารงตําแหน่งดังกล่าวให้แก่สํานักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรด้วย” ซึ่งมีโทษถึงติดคุก! นอกจากนี้ยังเสี่ยงที่จะถูกร้องให้ตรวจสอบการใช้เอกสารเท็จที่เป็นคดีอาญา ที่มีโทษถึงจำคุกอีกด้วย อย่างไรก็ตาม “ธนาธร” เชื่อว่ากรณีถือหุ้นสื่อไม่เกี่ยวข้องกับการยุบพรรค หากศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้พ้นสมาชิกภาพ ส.ส. ก็จะไม่กระทบต่อพรรคอนาคตใหม่ “คดีที่มีอยู่ทั้งหมดจะนำไปสู่การยุบพรรคได้ยากมาก เพราะการยุบพรรคเขียนไว้ชัดว่าต้องมีกรณีอะไรบ้าง ดังนั้นการพูดเรื่องยุบพรรคจึงมีเป้าประสงค์ทางการเมือง ทำให้คนไม่กล้ามาร่วมงานกับพรรคอนาคตใหม่ ทำให้ ส.ส.ของเราหวั่นไหวลังเล เพื่อที่จะซื้อได้ง่ายขึ้น อย่างไรก็ตามยืนยันและเชื่อมั่นในความบริสุทธิ์ของพรรค” นั่นเท่ากับว่า หากผลคำวินิจฉัยออกมาเป็นลบกับ “ธนาธร” ก็จะ “ตายเดี่ยว” ไม่ใช่ “ตายหมู่”ยกพรรค! กระนั้น ก็ไม่ผิดที่ “ธนาธร” จะอธิบายเช่นนั้น แต่หากพิเคราะห์อย่างสังเคราะห์แล้ว ก็จะพบว่า สิ่งที่ “ธนาธร” ระบุ จะเชื่อตามนั้นจริงๆ หรือไม่ก็ตาม มันเป็นความจริงเพียงครึ่งเดียว ไม่ใช่ทั้งหมด เพราะหากสแกนดูคดีความที่เกิดขึ้นกว่า 20 คดีนั้น ทั้งคดีของบรรดาแกนนำพรรค ไม่ว่าจะเป็น “ธนาธร” ปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรค และพรรณิการ์ วานิช โฆษกพรรค และคดีที่ฟ้องพรรคโดยตรง คดีที่อาการน่าเป็นห่วงที่อาจนำไปสู่การยุบพรรคมากที่สุด คือคดีที่ “ธนาธร” ปล่อยเงินกู้ให้พรรคอนาคตใหม่ 191 ล้านบาท ที่มีหลักฐานเอกสารจากการที่ ป.ป.ช.เปิดเผยบัญชีทรัพย์สินของ “ธนาธร” ว่าได้ให้กู้ยืมเงินแก่พรรคอนาคตใหม่ 2 สัญญา เป็นเงิน 191,200,000 บาท ขัดแย้งกับข้อมูลที่ “ธนาธร” เคยไปบรรยายที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 15 พ.ค. 2562 ว่าให้เงินพรรคยืมไปประมาณ 105 หรือ 110 ล้านบาท รวมทั้งไม่ตรงกับคำพูดของ “ช่อ” ที่ระบุว่าพรรคอนาคตใหม่ทำสัญญากู้ยืมประมาณ 250 ล้านบาท พร้อมคิดดอกเบี้ย อย่างไรก็ตาม กรณีที่เกิดขึ้นอาจเข้าข่ายขัดมาตรา 62 พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง ที่ระบุให้พรรคการเมืองอาจมีรายได้ ดังต่อไปนี้ (1) เงินทุนประเดิมตามมาตรา 9 วรรคสอง(2) เงินค่าธรรมเนียมและค่าบํารุงพรรคการเมืองตามที่กําหนดในข้อบังคับ(3) เงินที่ได้จากการจําหน่ายสินค้าหรือบริการของพรรคการเมือง (4) เงิน ทรัพย์สิน และประโยชน์อื่นใดที่ได้จากการจัดกิจกรรมระดมทุนของพรรคการเมือง (5) เงิน ทรัพย์สิน และประโยชน์อื่นใดที่ได้จากการรับบริจาค(6) เงินอุดหนุนจากกองทุน(7) ดอกผลและรายได้ที่เกิดจากเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดของพรรคการเมือง ซึ่งมีการตีความว่า ตามบทบัญญัตินี้พรรคการเมืองไม่อาจกู้ยืมเงินจากบุคคลหนึ่งบุคคลใดได้ การที่พรรคอนาคตใหม่กู้ยืมเงินจาก “ธนาธร” จึงฝ่าฝืนมาตรา 62 และเป็นเงินที่พรรคอนาคตใหม่ได้รับมาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขณะที่ยังมีอีกคดีสำคัญคือ คำร้องของ ณฐพร โตประยูร อดีตที่ปรึกษาประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน กล่าวหาพรรคอนาคตใหม่เป็นปฏิปักษ์และล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ที่ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องไว้พิจารณาแล้ว ดูเหมือนไม่ว่าทางใด ก็ล้วนแต่เป็นหนทางอันตรายทั้งสิ้น ตรงนี้ต่างหาก เป็นสิ่งที่ “ธนาธร” ไม่ได้พูดถึง แต่เชื่อว่า “ธนาธร” ตระหนักรู้แก่ใจดี และไม่แปลกที่จะมีข่าวการวางพรรคพลังอนาคต เป็นพรรคสำรอง หากพรรคอนาคตใหม่ถูกยุบ เพียงแต่ หากพรรคอนาคตใหม่มีอันต้องถูกยุบพรรคไปแล้วบรรดาส.ส.ต้องหาพรรคสังกัดใหม่ภายใน 60 วัน ซึ่งจะมีส.ส.ตัวจริงเสียงจริง ตามไปอยู่กับพรรคใหม่ด้วยกันสักกี่คน โดยเฉพาะบรรดานักการเมืองแท้ๆ โดยสายเลือด ไม่ใช่กลุ่มนักคิด หรือนักทฤษฎีหัวขบวนของพรรค ที่แน่นอนว่า กลุ่มนี้เป็นเป้าหมายของพรรคใหญ่ที่จะช้อนซื้อ จากฟากของรัฐบาล ที่อาจจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของพรรคอนาคตใหม่ และการเมืองไทย