“EA”เผยผลงานไตรมาส 3/62 ทำกำไรสูงสุดแตะ 1,678.73 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31.71% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน มั่นใจปี 62 รายได้-กำไร ทุบสถิติใหม่ ลั่นพร้อมเดินหน้าโปรเจครถยนต์ไฟฟ้า-โรงงานแบตฯตามแผน พร้อมมองหาลู่ทางลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนแห่งใหม่ หนุนผลงานปี 63 All Time High ต่อเนื่อง นายอมร ทรัพย์ทวีกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทและบริษัทย่อยในไตรมาส 3/62 มีกำไรสุทธิจำนวน 1,678.73 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 404.16 ล้านบาท หรือ 31.71 % เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 1,274.58 ล้านบาท ส่งผลให้มีกำไรสุทธิสำหรับงวด 9 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย.62 จำนวน 4,331.89 ล้านบาท ทั้งนี้หากพิจารณาเฉพาะกำไรสุทธิจากการดำเนินธุรกิจตามปกติ (ไม่รวมรายการกำไรทางบัญชี,กำไร (ขาดทุน) จากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่เกิดขึ้น และรายได้อื่นๆ)บริษัทจะมีกำไรในไตรมาส 3/62 นี้ 1,753.45 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 59.15% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน สำหรับรายได้ในไตรมาส 3/62 นี้บริษัทมีรายได้รวม 4,117.95 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 1,155.02 ล้านบาท หรือ 38.98% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 2,962.93 ล้านบาท ทำให้งวด 9 เดือนแรกของปี 2562 สิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย.62 บริษัทมีรายได้รวมทั้งสิ้น 10,846.53 ล้านบาท “กำไรที่เติบโตอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลจากโรงไฟฟ้าพลังงานลม ที่มีกำลังการผลิตใหม่จากโครงการหนุมานเข้ามาเต็มไตรมาสเป็นครั้งแรก ทำให้ผลประกอบการจากไตรมาสนี้ มาจากกำลังการผลิตของโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ และโรงไฟฟ้าพลังงานลมรวมทั้งสิ้น 664 เมกะวัตต์ ประกอบกับในไตรมาสนี้ เป็นช่วงฤดูฝนที่มีลมแรง นับเป็นไฮซีซั่นของการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม ส่วนโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์สามารถผลิตไฟฟ้าได้สูงกว่าไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เพราะฝนตกน้อยกว่าปีที่ผ่านมา” ส่วนธุรกิจผลิตและจำหน่ายน้ำมันไบโอดีเซล ในไตรมาส 3/62 มีรายได้รวม 862.16 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.52% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และธุรกิจกลีเซอรีนบริสุทธิ์ มีรายได้รวม 47.09 ล้านบาท ลดลง 29.75% แม้ว่าจะมีปริมาณการจำหน่ายเพิ่มขึ้น แต่มีราคาจำหน่ายที่ลดลง ทั้งนี้เป็นผลมาจากภาวะผลผลิตปาล์มล้นตลาดและราคาตกต่ำ ตลอดจนมีการแข่งขันราคา ขณะเดียวกันบริษัทยังคงเดินหน้าตามแผนการผลิตและส่งมอบรถไฟฟ้า MINE SPA1 ให้กับสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนสุวรรณภูมิพัฒนา จำกัดจำนวน 3,500 คัน ตามที่ทำข้อตกลงกันไว้ โดยจะเริ่มทยอยส่งมอบตั้งแต่ไตรมาส 2/63 โดยโรงงานประกอบรถยนต์ที่บริษัทกำลังก่อสร้างจะสามารถรองรับการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าทั้งประเภทรถยนต์ไฟฟ้า รถบัสไฟฟ้า และรถบรรทุกไฟฟ้า ซึ่งบริษัทได้จัดตั้งบริษัทย่อยชื่อบริษัท อีวีนาว จำกัดไว้เรียบร้อยแล้ว สำหรับแผนลงทุนในปีนี้ และปี 2563 บริษัทยังคงเดินหน้าตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ โดยเน้นน้ำหนักไปที่โครงการผลิตแบตเตอรี่ลิเที่ยมไอออนเฟสแรก ขนาดกำลังการผลิต 1 GWh ซึ่งอยู่ระหว่างการดำเนินการ เพื่อนำไปใช้ในโครงการยานยนต์ไฟฟ้าและอุตสาหกรรมไฟฟ้า อีกทั้งยังอยู่ระหว่างการลงทุนสร้างโรงผลิตกรีนดีเซล และพีซีเอ็มที่เป็นผลิตภัณฑ์มูลค่าเพิ่มขั้นสูงและเป็นลิขสิทธิ์ของกลุ่มบริษัทสามารถส่งออกและทดแทนการนำเข้า โดยเงินที่ใช้สำหรับการขยายการลงทุนในครั้งนี้มาจากกระแสเงินสดของบริษัท และเงินกู้ยืมระยะยาว โดยในส่วนของธุรกิจใหม่ทั้งหมดจะเริ่มรับรู้รายได้อย่างมีนัยสำคัญในปีหน้าผลักดันให้รายได้และกำไรในปี 2563 เติบโตอย่างต่อเนื่อง